นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 34

บาดแผลบนร่างกายของฮูหยินรองไม่คณามือเฟิ่งชิงเฉินเลยแม้แต่น้อย ที่ยุ่งยากคือบาดแผลเหล่านี้มีมากเกินไปจึงทำให้เสียเวลาจัดการมาก

อีกทั้งแสงในห้องนี้ไม่ค่อยดีนัก เพื่อรักษาความสมบูรณ์ในการเย็บแผลจึงอดไม่ได้ที่จะโน้มเอวลงไปจ้องบาดแผลบนร่างของฮูหยินรองใกล้ๆ

เมื่อจัดการบาดแผลทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว เฟิ่งชิงเฉินทั้งเหนื่อยและหิว เอวที่ก้มค้างไว้แทบจะยืดไม่ขึ้น ดวงตาของนางทั้งแห้งและบวมแดง

"เป็นงานที่น่าเหนื่อยใจเสียจริง"

เฟิ่งชิงเฉินอดทนอย่างมากต่อความไม่สบายของร่างกายเก็บกวาดขยะทางการแพทย์ ถอดถุงมือออก แยกประเภทของเก็บในกระเป๋าทางการแพทย์

จากนั้นก็ล้างมือทั้งสองในน้ำสะอาดก่อน หนึ่งครั้ง สองครั้ง... ทั้งหมดเจ็ดครั้ง นางจึงได้หยุดมือลง

หากถูกคนนอกเห็นเข้าก็คงจะคิดไปว่านางเป็นโรคกลัวเชื้อโรคหรือเป็นโรคประสาท

แต่ทว่าแพทย์ก็มักจะเป็นโรคกลัวเชื้อโรคอยู่บ้างไม่มากก็น้อย พวกเขารู้ดีว่าบาดแผลพวกนี้มีแบคทีเรียมากเพียงใดและยิ่งรู้ดีว่าการติดเชื้อแบคทีเรียนั้นเจ็บปวดมากเพียงใด

เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหา เฟิ่งชิงเฉินก็อนุญาตให้ตนเองแสดงสีหน้าเหน็ดเหนื่อยออกมาได้ นางเอื้อมมือไปนวดเอวที่เจ็บปวดจนแทบจะไม่มีความรู้สึกแล้ว

มือซ้ายของนางประคองเอวไว้ มือขวาเอื้อมไปนวดเอว นางเดินเช่นนี้ออกไปข้างนอก ท่าทางเช่นนี้คล้ายกับคนท้องไม่น้อย

หวังชีเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นท่าทางเช่นนี้ของเฟิ่งชิงเฉิน

"พรูด..." น้ำชาของเขาพุ่งออกมาจากปาก

สาวใช้รีบก้าวเข้าไปคิดจะเช็ดให้กับหวังชี แต่กลับถกหวังชีผลักออก

หวังชีเดินเข้าไปหาเฟิ่งชิงเฉินด้วยสีหน้าตกตะลึงโดยไม่ได้รักษาภาพพจน์ของคุณชายเอาไว้เลยแม้แต่น้อย "เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่? เจ้าคงจะไม่..?"

สายตาของเขาทอดลงมองดูที่ท้องของนาง

ไม่ใช่ว่าหวังชีคิดมาก แต่เรื่องราวก่อนหน้านี้ที่เกิดกับเฟิ่งชิงเฉินบวกกับกิริยาเช่นนี้ของนางทำให้ผู้คนอดคิดมากไม่ได้

ที่หน้าประตูเมือง สภาพอาภรณ์หลุดลุ่ย ไม่มีคนคิดว่านางยังบริสุทธิ์อยู่แน่ ดังนั้นหากเฟิ่งชิงเฉินทั้งท้องขึ้นมาจริงก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ

เพียงแต่...

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้แล้ว หวังชีกลับรู้สึกรำคาญใจเป็นอย่างยิ่ง เขามีความรู้สึกอยากสังหาร "บิดาของเด็ก" ยิ่งนัก

เป็นผู้ชายที่ไร้ยางอายเพียงใดกันจึงได้ลงมือกับเฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ เช่นนี้ได้?

ที่สำคัญที่สุดก็คือ หญิงสาวผู้นี้ เหตุใดจึงเป็นเฟิ่งชิงเฉิน ไม่ใช่ผู้อื่น

ในชีวิตของหวังชี น้อยครั้งนักที่จะได้พบเจอหญิงสาวที่แตกต่างจากคนอื่น แต่กลับเป็นหญิงที่เต็มไปด้วยโศกนาฏกรรมไปเสียได้

เฟิ่งชิงเฉินกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ "คุณชายเจ็ด โปรดเก็บสายตาของท่านกลับไปด้วยแล้วก็เก็บความคิดสับสนวุ่นวายในสองด้วยเช่นกัน ข้าไม่ได้ตั้งครรภ์"

ส่วนที่ว่ายังบริสุทธิ์หรือไม่นั้น เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้คิดจะอธิบาย เพราะอย่างไรเสียถึงพูดไปเขาก็ไม่เชื่อนางอยู่ดี และถึงแม้เขาจะเชื่อ ก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใดต่อนางเลย

ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะเปลืองน้ำลายไปทำไม

เฟิ่งชิงเฉินเยาะเย้ยตัวเอง

"แค่กๆ ในหัวเจ้าคิดอะไรยุ่งเหยิงถึงเพียงนั้นกัน หญิงที่ยังไม่ได้ออกเรือน จะท้องหรือไม่ท้องอะไรกัน" หวังชีตอกกลับอย่างไม่สบอารมณ์เช่นกัน ความหวังสุดท้ายในใจของเขาถูกดับลงไปเสียแล้ว

เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินกล่าวเช่นนี้ นางคงถูกรุกล้ำแล้วจริงๆ

หวังชีรู้สึกว่าเขาห่อเหี่ยวลงในทันใด แต่กลับต้องทำตัวร่าเริงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

"เฟิ่งชิงเฉิน ดูเหมือนว่าวิชาแพทย์ของเจ้าจะไม่เลวเลย? เป็นศิษย์อาจารย์สำนักใดหรือ?"

หยั่งเชิงงั้นหรือ?

เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับดวงตาสีดำล้ำลึกของหวังชี

เมื่อได้มองเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินจึงได้รู้ว่าคุณชายตระกูลหวังผู้นี้ไม่เลวเลย ดวงตาของเขาสดใสและจริงใจ สายตาที่ใช้มองนางไม่เหมือนกับกำลังหยั่งเชิง แต่กลับดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความหวัง

หรือว่าในตระกูลหวังมีคนป่วยงั้นหรือ?

แพทย์มักจะคุ้นชินกับการถูกคนถามถึงวิชาแพทย์ สิ่งแรกที่นึกถึงก็คือมีคนไข้ แม้ว่านางจะยิ่งหวังว่าผู้คนใต้หล้านี้จะไม่เจ็บป่วยมากกว่า ให้แพทย์ทุกคนหิวโหยตาย

"ก็งั้นๆ ส่วนที่ว่าเป็นศิษย์อาจารย์สำนักใด เจ้าจงไปถามท่านแม่ของข้าเถอะ นางทิ้งตำราแพทย์ไว้ให้ข้า" ขออภัยที่ต้องโยนเรื่องไปให้ผู้ที่จากไปแล้วด้วย เพราะมีเพียงแบบนี้เท่านั้นจึงจะสมเหตุสมผล นางไม่มีอารมณ์แต่งเรื่องโกหกหลอกลวง

"ที่แท้เป็นเฟิ่งฮูหยินนี่เอง มิน่าเล่า" คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อพูดแบบนี้แล้วหวังชีกลับยิ่งเชื่อว่าวิชาแพทย์ของนางนั้นใช้ได้

ช่วยไม่ได้ แม้ว่ามารดาของนางจะอยู่ที่เหมืองหลวงเพียงไม่กี่ปี แต่กลับมีชื่อเสียงโด่งดัง เรื่องราวชีวิตของนางเป็นราวกับเทพนิยาย

หญิงชนชั้นต่ำได้กลายเป็นถึงฮูหยินของแม่ทัพใหญ่ขั้นสาม อีกทั้งยังได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เก้ามิ่งอีก

อึกๆๆๆ

หลังจากดื่มน้ำถ้วยใหญ่ลงไป เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกว่าความเหนื่อยล้าของนางลดลงไปอย่างมาก จิตวิญญาณของนางฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย นางจึงค่อยให้ความสนใจกับหวังชี

"ขอบใจคุณชายเจ็ด"

เดิมหวังชีสนใจที่จะผูกมิตรเพราะวิชาแพทย์ของเฟิ่งชิงเฉิน ยามนี้เมื่อได้เห็นเฟิ่งชิงเฉินเป็นตัวของตัวเองเช่นนี้ต่อหน้าคุณชายผู้สูงศักดิ์ เขาจึงมีความรู้สึกที่ดีเกิดขึ้นในใจ

ผู้หญิงหน้าซื่อใจคดท่าทางอ่อนโยนมากมาย เมื่อพบกับผู้หญิงที่แสดงนิสัยตามธรรมชาติออกมาจึงอดรู้สึกชื่นชมไม่ได้

แน่นอนว่าเป็นเพียงความชื่นชมล้วนๆ

หวังชีไม่ได้มีความคิดเป็นอื่นต่อเฟิ่งชิงเฉิน อย่าว่าแต่เขาไม่สามารถผ่านการทดสอบของตัวเองได้เลย เขาไม่สามารถยอมรับหญิงที่สูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว ภูมิหลังและตัวตนของเฟิ่งชิงเฉินยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเข้าจวนหวัง

ไม่ต้องพูดถึงการเป็นฮูหยิน แม้จะเป็นอนุภรรยาอุ่นเตียง ตระกูลหวังก็คงไม่ยอมเช่นกัน

หวังชีและเฟิ่งชิงเฉินคุยกันแบบสบาย ๆ โดยปราศจากความคิดที่ยุ่งเหยิงนี้ ทุกวันเขาทำตัวเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ เขาต้องคิดถึงภาพลักษณ์ของเขาในทุกๆ การเคลื่อนไหว เขาก็เหนื่อยเช่นกัน...

ในตอนแรกเฟิ่งชิงเฉินตอบกลับบ้างไม่ตอบกลับบ้าง แต่เมื่อสนทนากันไป เฟิ่งชิงเฉินจึงได้รู้ว่าคุณชายหวังชีผู้นี้ยังมีความรู้อยู่บ้าง เฟิ่งชิงเฉินได้รู้เรื่องมากมายเกี่ยวกับแคว้นตงหลิงทั้งภูมิศาสตร์ ผู้คน และประวัติศาสตร์

ทั้งสองคุยกันอย่างสนุกสนานจนสาวใช้เข้ามาเตือนว่าอาหารเย็นพร้อมแล้ว ทั้งสองจึงรีบลุกขึ้น

ในยามนี้หวังชีได้ละทิ้งอคติที่มีต่อเฟิ่งชิงเฉินไปแล้ว พร้อมทั้งพบวิธีที่ทำให้พวกเขาเข้ากันได้

อย่าปฏิบัติต่อเฟิ่งชิงเฉินในฐานะผู้หญิง แต่ปฏิบัติต่อเธอในฐานะเพื่อนที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ไม่มีความแตกต่างทางเพศ

หลังจากที่รับประทานอาหารเย็นที่จวนเซี่ยแล้ว หวังชีก็พาเฟิ่งชิงเฉินไปส่งที่จวนเฟิ่งและทิ้งคำพูดเหล่านี้ไว้ก่อนที่จะจากไป

"เฟิ่งชิงเฉิน ข้าแซ่หวัง ชื่อจิ่นหาน ชื่อรองเย่าชู เป็นลูกคนที่เจ็ด คนอื่นเรียกข้าว่าคุณชายเจ็ด เจ้าเรียกข้าว่าจิ่นหานก็ได้"

เฟิ่งชิงเฉินอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงเข้าใจ

ในสมัยโบราณชื่อนั้นสำคัญมาก เมื่ออีกฝ่ายเต็มใจบอกชื่อ นั่นก็หมายความว่าเขายอมรับอีกฝ่ายนึงแล้ว

คุณชายหวังผู้นี้ช่างมีอารมณ์ขันยิ่งนัก

เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะและเดินไปที่จวนเฟิ่ง ทันทีที่นางเข้าไปในลานเล็กๆ นางก็...

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ