แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินสามารถเข้าใจความหมายของมันได้อย่างชัดเจน
สารเลว!
นางอยากจะเตะเสด็จอาเก้าให้ตาย ไม่รู้ว่าควรจะพูดออกมาอย่างไรดี เขาเป็นผู้ชายไม่จำเป็นต้องกลัว แต่นางเป็นผู้หญิง นี่มันเป็นเรื่องสำคัญ
แต่ในตอนที่ยกเท่าขึ้น เฟิ่งชิงเฉินนึกขึ้นได้ว่าหากตนเองเตะออกไป แบบนั้นไม่เท่ากับว่าเป็นการยอมรับอย่างนั้นหรือ เฟิ่งชิงเฉินทำได้เพียงฝืนใจเก็บเท้ากลับมา แสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป ก้มหน้ามองปลายเท่าของตนเอง
วันนี้นางเป็นคนดีที่สุด เป็นโล่ที่ดีที่สุด เมื่อกลับไปแล้วมาดูกันว่านางจะจัดการกับเสด็จอาเก้าอย่างไร
ฮึ......เฟิ่งชิงเฉินกัดฟัน เสด็จอาเก้ารู้สึกถึงความหนาวเย็นจากด้านหลัง รู้สึกไม่ดีในหัวใจ แต่เขาไม่ได้แสดงมันออกมา ภายใต้การจ้องมองของเซวียนเส้าฉีและหวังจิ่นหลิง เขายื่นมือออกไปหาเฟิ่งชิงเฉินอย่างเป็นธรรมชาติ แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับหลบออกไป
เฟิ่งชิงเฉินถอยกลับมาด้านหลังหนึ่งก้าว โค้งคำนับพร้อมกล่าวอย่างสุภาพว่า “เชิญเสด็จอาเก้าเสด็จกลับ”
เห็นได้ชัดว่านี่คือการปฏิเสธ มือของเสด็จอาเก้าแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ แม้จะรู้สึกไม่พอใจ แต่เสด็จอาเก้าก็ไม่กล้าทำอะไรนางไปมากกว่านี้ ดังนั้นจึงดึงมือกลับอย่างใจเย็น หันไปพูดกับเซวียนเส้าฉีและหวังจิ่นหลิงว่า “ไปกันเถอะ พวกเราไปกันได้แล้ว อย่าไปรบกวนเวลาพักผ่อนของชิงเฉินเลย”
หากเขาต้องไป เขาก็ต้องพาผู้ชายสองคนนี้ไปด้วย
หวังจิ่นหลิงและเซวียนเส้าฉีมองหน้ากัน พยักหน้าให้เสด็จอาเก้า พวกเขาเดินจากไปพร้อมกัน ทุกคนต่างโล่งใจ
หวังจิ่นหลิงรู้สึกหดหู่ใจ ฝืนยิ้มให้กับเฟิ่งชิงเฉินเพื่อบ่งบอกให้เฟิ่งชิงเฉินพักผ่อนให้สบาย จากนั้นหันหลังและจากไป ทิ้งเฟิ่งชิงเฉินไว้ด้านหลังอย่างเดียวดาย
เซวียนเส้าฉีมองมายังเฟิ่งชิงเฉินด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นรอยยิ้มอันสดใสของเฟิ่งชิงเฉิน ความกังวลในหัวใจของเขาลดลงมาก คืนนี้เขายุ่งมากและไม่มีเวลาอยู่ที่นี่จริง ๆ
มันเหมือนกับเรื่องตลก ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึงและจบลงอย่างแปลกประหลาด เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ที่เดิม มองการจากไปของทั้งสามคน จนกระทั่งมองไม่เห็นเงาของพวกเขาทั้งสามนางถึงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ยื่นมือออกมาลูบแก้มซึ่งถูกกัดของตนเอง......
ตอนแรกนางไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งปลายนิ้วของเสด็จอาเก้าสัมผัสมาบนแก้มของนาง นางถึงเข้าใจว่าเรื่องมันเป็นเช่นนี้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้วนางจะสามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็ไม่คิดจะอธิบาย
หากอธิบายแล้วเข้าใจผิดอาจนำไปสู่หายนะ
แบบนี้มันดีสำหรับทั้งสี่คนแล้ว ต้องรู้ก่อนว่าความรักนั้นเป็นเรื่องของคนสองคน นางปฏิเสธเซวียนเส้าฉีไปแล้ว และย้ำความสัมพันธ์ของตนเองกับหวังจิ่นหลิงไปนับครั้งไม่ถ้วน และมันก็สะเทือนใจไม่ต่างอะไรกับฉากนี้
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มพร้อมหันหลังกลับ วันนี้เป็นวันที่หลับสบายที่สุดในโลก ส่วนเรื่องการทะเลาะกันของชายทั้งสามคน มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาง
เรื่องซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานเหมือนกับเป็นเรื่องต้องห้าม เช้าวันที่สองเสด็จอาเก้า หวังจิ่นหลิง เซวียนเส้าฉี ทั้งสามคนเจอหน้ากันแต่กลับไม่พูดอะไรสักคำ
หลังจากทานอาหารเช้าเป็นอันเรียบร้อย ทั้งสามคนไปยังห้องโถงซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้ หวังจิ่นหลิงโบกมือให้สาวใช้ไปนำชาที่ตนเองชงมา รินชาใส่ถ้วยและยื่นให้เฟิ่งชิงเฉิน “ลองชิมดู”
ท่าทางเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงอ่อนโยน ผิดไปจากปกติ เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าหวังจิ่นหลิงคิดได้แล้วหรือยังคิดไม่ได้ นางทำในสิ่งที่ทำได้ทั้งหมดไปแล้ว ที่เหลือมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนาง หากนางต้องแบกรับทุกอย่างไว้ด้วยตนเอง แบบนั้นจะไม่เหนื่อยตายหรอกหรือ
รับถ้วยชา เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยนแต่ไม่ได้กล่าวขอบคุณ ทุกอย่างกลับไปยังจุดเริ่มต้น พวกเขายังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และเป็นได้เพียงเพื่อนเท่านั้น
รอยยิ้มของหวังจิ่นหลิงมีร่องรอยของความเหงาและความอ้างว้าง แต่มันถูกปกปิดอย่างดีและไม่มีใครรู้นอกจากตัวเขาเอง
ในตอนที่รินชาแก้วที่สอง หวังจิ่นหลิงผงะอยู่ครู่หนึ่ง เขาวางมันไว้ด้านหน้าของตนเอง จากนั้นยื่นกาน้ำชาให้เสด็จอาเก้าพร้อมกล่าวว่า “คิดว่าเสด็จอาเก้าคงไม่อยากให้ใครสัมผัสถ้วยชาที่ตนเองดื่ม หวังจิ่นหลิงไม่ขอก้าวก่าย”
ความหมายก็คือให้เสด็จอาเก้าบริการตนเอง เขาหวังจิ่นหลิงจะไม่ปรนนิบัติ
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนขี้น้อยใจและเก็บกด คำพูดและท่าทางของหวังจิ่นหลิงทำให้คนพูดไม่ออก ราวกับว่าเขาใส่ใจในตัวเสด็จอาเก้ามากกว่าคนอื่น
ท้ายที่สุดแล้วในพระราชวัง ไม่มีใครไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้านั้นจริงจังเรื่องความสะอาดมากแค่ไหน
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจขององค์ชาย” น้อยครั้งที่เสด็จอาเก้าจะไม่พอใจ เขารินชาด้วยตัวเองด้วยท่าทางแห่งผู้ได้รับชัยชนะ
อย่าไปสนใจคำพูดของผู้ชายซึ่งพ่ายแพ้ ผู้แพ้มักจะระมัดระวังอยู่เสมอ
ดื่มเข้าไป เสด็จอาเก้ารู้สึกว่าชาวันนี้มีกลิ่นหอมมากกว่าปกติ แต่น้ำชากาเดียวกัน หวังจิ่นหลิงกลับรู้สึกว่ามันมีรสขม
หวังจิ่นหลิงวางถ้วยชาลงโดยไม่เกิดเสียง มองมาทางเสด็จอาเก้าด้วยความอ่อนโยนพร้อมถามออกมาว่า “จะออกเดินทางเมื่อไหร่ และจะเดินทางอย่างไร?”
การเดินทางของทั้งสามคนมีเสด็จอาเก้าเป็นผู้ควบคุม เสด็จอาเก้าบอกว่าจะเดินทางในวันนี้ เขาเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
สำหรับเขาปัญหาของเผ่าเสวียนเซียวกงได้รับการแก้ไขเป็นอันเรียบร้อย หลังจากนี้เซวียนเฟยจะไม่มีวันมายุ่งกับเขาได้อีก แม้จะไม่ได้สังหารเซวียนเฟยเพื่อแก้แค้นให้กับองครักษ์ แต่การมีชีวิตอยู่ของนางนั้น ทำให้นางทุกข์ทรมานยิ่งกว่า
“ตอนนี้ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว” ทางลงเขามีเพียงเส้นทางเดียว หากพวกเขาลงเขาในตอนนี้จะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพทั้งสามประเทศ ส่วนจะลงมือหรือไม่นั้นมันก็คือเรื่องหนึ่ง
เนื่องจากกองกำลังของพันธมิตรทั้งสามประเทศอยู่ภายใต้ธงของเสด็จอาเก้าและองค์ชายใหญ่ เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงยอมถอย พวกเขาจะถอยหรือไม่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เสด็จอาเก้าต้องมาพิจารณา
“ข้าคือผู้นำแห่งตระกูลหวัง? แล้วเจ้าล่ะ? เป็นท่านอ๋องที่น่าเคารพที่สุดในตงหลิง” คำพูดนี้ของหวังจิ่นหลิงเองก็ถือเป็นการแจ้งเตือนเสด็จอาเก้าเช่นกัน ด้วยตัวตนของเขาไม่สามารถมีภรรยาเป็นคนธรรมดาได้
พวกเขาสองคนอยู่บนเรือลำเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าใครก็ว่ากันไม่ได้ทั้งนั้น
เสด็จอาเก้ายิ้มออกมา โน้มตัวไปด้านหน้า พูดกับหวังจิ่นหลิงด้วยแรงกดดัน “ข้าสามารถละทิ้งตัวตนของข้าได้ตลอดเวลา แต่เจ้าล่ะ เจ้าสามารถทำได้หรือไม่?”
เสด็จอาเก้าไม่ได้พูดออกมาโดยไม่คิด เขาตั้งใจจะบอกกับหวังจิ่นหลิงว่า ตำแหน่งชินอ๋องแห่งตงหลิงนั้น สำหรับเขาแล้วมันไม่มีค่าอะไร
“เมื่อถึงเวลานั้น ยิ่งทำไม่ได้เข้าไปใหญ่” หวังจิ่นหลิงรู้ดีว่าเสด็จอาเก้าสามารถทำได้ เนื่องจากเขาไม่ใช่ชินอ๋องแห่งตงหลิง แต่เขาจะมีสถานะที่สูงส่งกว่านั้นอีก
พวกเขาล้วนเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับอำนาจ ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรก็ไม่สามารถออกจากวังวนนี้ได้ การใช้ชีวิตอย่างเกียจคร้าน ปลีกตัวออกไปยังโลกภายนอก จะใช่หรือไม่ใช่เสด็จอาเก้า สำหรับเสด็จอาเก้าแล้วมันไม่สำคัญ
“ขอแค่ข้าปรารถนา ทุกอย่างก็สามารถเป็นไปได้” เสด็จอาเก้าไม่ได้บอกหวังจิ่นหลิงว่าฐานะของเฟิ่งชิงเฉินนั้นล้ำค่าแค่ไหน
หากเป็นราชวงศ์ก่อน ต่อให้เป็นถึงผู้นำแห่งตระกูลหวังก็ยากที่จะได้เห็นลูกสาวของเฟิ่งหลี เมื่อพบลูกสาวของเฟิ่งหลีก็ต้องคุกเข่าและก้มหน้า ไม่มีสิทธิ์จะเงยหน้าขึ้นมามองด้วยซ้ำ
ด้วยสถานะอันสูงส่งถึงเพียงนี้ ไม่ว่าผู้ชายคนใดในโลกก็คู่ควรทั้งนั้น แต่แค่ตอนนี้ยังไม่สามารถพูดออกมาได้ หากพูดออกมาตอนนี้อาจทำให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นอันตราย
หวังจิ่นหลิงหลับตาเพื่อซ่อนความขมขื่นในดวงตาของเขา “เจ้าถามนางหรือยังว่านางเต็มใจหรือไม่?”
บางทีอาจจะมีวันหนึ่งที่เป็นเช่นนั้นจริง แต่เฟิ่งชิงเฉินจะเต็มใจกับการผูกมัดของตัวตนนั้นหรือไม่?
หวังจิ่นหลิงสงสัย
“นี่เป็นเรื่องของข้ากับนาง องค์ชายใหญ่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ หากคุณชายไม่มีเรื่องอื่นใด งั้นพวกเราควรออกเดินทางได้แล้ว” ท่าทางของเสด็จอาเก้าเยือกเย็น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการพูดอะไรมากไปกว่านั้น
อันที่จริง เขาเกลียดที่มีคนเอาเรื่องนี้มาพูดต่อหน้าเขามาโดยตลอด ตอนนี้เขาสามารถแต่งงานกับเสด็จอาเก้าได้หรือไม่ ตัวเขารู้ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องให้คนนอกมาพูดพล่อย ๆ ข้างหูของเขา
“ข้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว สามารถออกเดินทางได้ตลอดเวลา แต่ข้ามีคำพูดหนึ่งอยากจะบอกเจ้าไว้ อย่ามั่นใจมากเกินไป นางไม่มีทางจะรอเจ้าอยู่ที่เดิมได้ตลอดไป”
เจ้าไม่ได้เป็นเพียงตัวเลือกเดียวของเฟิ่งชิงเฉิน ขอแค่นางเต็มใจ นางสามารถจากไปได้ทุกเมื่อ......
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ
ไม่ต่อให้จบเหรอคะ นานแล้ว แวะมาบอกกล่าวกันบ้าง...
ขอบคุณน่ะค่ะที่ต้องอดหลับอดนอนอัพเดต สู้ๆๆๆๆน่ะค่ะเป็นกำลังใจให้ค่ะ ผู้อ่านก็ไม่ได้หลับได้นอนเหมือนกัน ติดงอมเลย...
ง่ายๆๆยึดอำนาจ...
มาต่อได้ไหมมมมมมมม พลีสสสสสสสสสสสสสสสสส...
Update ให้หน่อยค่ะ จอดอยู่ที่ 1430 นานแล้ว ขออีกสัก 29 ตอนนะคะ Pleaseeeeee Admin ที่น่ารัก...
ไม่อัพเดตแล้วหรอค่ะ...
สามารถซื้ออ่านผ่านช่องทางไหนได้บ้างค่ะ...
ไทม์ไลน์บอก อัพถึง บท1459 แต่ยังดูได้แค่ บท1430...
Update ให้หน่อยคร่า รออ่านอยู่ คร่า...
ไม่ Update นานแล้ว ไปเที่ยวเพลินเลย สงสารคนรอเถอะ เข้ามาทุกวัน อ่านช้ำไป 2 รอบแล้ว...