คำพูดนี้หวังจิ่นหลิงไม่ได้พูดออกมา แสดงรอยยิ้มที่มีเพียงแค่เสด็จอาเก้าเท่านั้นที่เข้าใจออกมา ไม่ทันรอให้เสด็จอาเก้าตอบสนอง หวังจิ่นหลิงโบกมือเรียกเฟิ่งชิงเฉิน
“ชิงเฉิน มาคุยเป็นเพื่อนข้าหน่อย” ใช่ หากไม่พูดออกไปอีกฝ่ายก็ไม่มีทางรู้
“ได้” เฟิ่งชิงเฉินปราศจากความสงสัย รีบก้าวออกมาด้านหน้า เดินผ่านเสด็จอาเก้าไปยังหวังจิ่นหลิง
การสนทนาของชายทั้งสองไม่ได้หลีกเลี่ยงนางแต่อย่างใด นางได้ยินทุกคำพูด
ได้ยินคำพูดของเสด็จอาเก้าซึ่งแสดงถึงความห่วงใยที่มีต่อนาง และได้ยินคำพูดที่ดูคลุมเครือของหวังจิ่นหลิง นางเข้าใจความหมายซึ่งหวังจิ่นหลิงต้องการสื่อออกมา นางจึงอยากพูดคุยกับหวังจิ่นหลิง......
เฟิ่งชิงเฉินอยากจะพูดคุยกับหวังจิ่นหลิงอย่างตรงไปตรงมา แต่คิดไม่ถึงว่า นางยังไม่ทันคิดออกว่าควรจะพูดอะไรออกไป หวังจิ่นหลิงก็พูดออกมาก่อนว่า “ชิงเฉิน เจ้าคงไม่ได้จริงจังกับมันใช่ไหม?”
หวังจิ่นหลิงหยุดฝีเท้ากะทันหัน หันหน้ามาหาเฟิ่งชิงเฉิน รอยยิ้มอันอ่อนโยนเผยออกมาในดวงตาสีดำสนิทของเขา ไม่มีร่องรอยของความคลุมเครือหรือความรู้สึก มีเพียงท่าทางที่เป็นสุภาพบุรุษเท่านั้น
“เอ๋? จริงจังกับอะไร?” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ตอบสนองในทันที นางตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและถามหวังจิ่นหลิงกลับไป
“ก็สิ่งที่ข้าพูดกับเสด็จอาเก้าเมื่อสักครู่ไง? เจ้าคงไม่ได้จริงจังกับมันใช่ไหม?” หวังจิ่นหลิงรู้ว่าเมื่อตนเองพูดแบบนี้ออกมา เขาจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง แต่หากเขาไม่พูดออกไป เขาจะต้องสูญเสียมากกว่าเดิม
เขานั่งคิดทบทวนอยู่ในห้องมาทั้งคืน คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงทำให้เฟิ่งชิงเฉินมีความสุข
“สิ่งที่เจ้าพูดกับเสด็จอาเก้า? หมายความว่าอย่างไร?” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกได้ว่าตนเองถูกทำให้สับสนโดยหวังจิ่นหลิง เมื่อเห็นรอยยิ้มอันสดใสของหวังจิ่นหลิง เฟิ่งชิงเฉินจึงอดถามตัวเองไม่ได้ว่า นางคิดมากเกินไปหรือเปล่า
ฮ่าฮ่าฮ่า......
ท่าทางงุนงงของเฟิ่งชิงเฉินทำให้หวังจิ่นหลิงพอใจเป็นอย่างมาก หวังจิ่นหลิงยิ้มออกมาพร้อมดีดหน้าผากของเฟิ่งชิงเฉินเบา ๆ “ชิงเฉิน เจ้าอย่าคิดมาก สิ่งที่ข้าพูดกับเสด็จอาเก้านั้นไม่มีความหมายอื่น แค่ต้องการเตือนเขาว่า ให้เขาทำดีกับเจ้าให้มาก เป็นห่วงเจ้าให้มากกว่านี้หน่อย ทำให้เขารู้สึกถึงความกังวล แม้ท่านลุงและท่านป้าไม่อยู่ แต่เจ้าก็ยังมีเพื่อนที่ดีอย่างข้าคอยอยู่เคียงข้างเสมอ หากเขากล้าทำร้ายเจ้า ข้าจะไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่”
ในขณะที่พูดออกมา หวังจิ่นหลิงกำหมัดของเขาแล้วต่อยออกไปกลางอากาศสองสามครั้ง แม้หวังจิ่นหลิงจะอ่อนแอ แต่การกระทำนี้ของเขานั้นน่าประทับใจเป็นอย่างมาก
อ่า......เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย มุมปากกระตุก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะกล่าวขอบคุณออกมา “จิ่นหลิง ขอบคุณเจ้ามาก”
นางคิดมากเกินไปใช่หรือไม่? จิ่นหลิงทำไปเพียงเพื่อต้องการช่วยนางเท่านั้นงั้นหรือ?
เฟิ่งชิงเฉินจ้องมองไปยังหวังจิ่นหลิงอย่างแน่วแน่ ด้วยท่าทางอันสงบของหวังจิ่นหลิงทำให้นางไม่เห็นอะไรเลย เฟิ่งชิงเฉินทำได้เพียงบอกกับตัวเอง นางคิดมากเกินไป โชคดีที่นางยังไม่ได้พูดออกไป ไม่อย่างนั้นคงอายน่าดู
เห็นเฟิ่งชิงเฉินยังคงอยู่ในสภาพงงงวย หวังจิ่นหลิงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาลูบศีรษะของเฟิ่งชิงเฉิน “ขอบคุณอะไร อย่าลืมว่าพวกเราเคยสัญญากันว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป เจ้าเป็นคนแรก และจะเป็นเพื่อนผู้หญิงที่สนิทเพียงคนเดียว ข้าจะรังแกเจ้าได้อย่างไร” ถึงต่อให้เป็นเสด็จอาเก้า ข้าก็ไม่มีทางยอม
เพื่อนผู้หญิงที่สนิทเพียงคนเดียว! หากไม่มีอะไรผิดพลาด ชีวิตนี้ของพวกเขาก็คงเป็นได้แค่นั้นจริง ๆ
หวังจิ่นหลิงรู้สึกแสบตา แต่ใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตาสีดำของเขาชัดเจน ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความกล้าหาญและความจริงใจของสุภาพบุรุษ
ได้ยินหวังจิ่นหลิงพูดเช่นนี้ เศษเสี้ยวแห่งความสงสัยในใจของเฟิ่งชิงเฉินก็ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ หวังจิ่นหลิงยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาในฐานะเพื่อน และวางขอบเขตไว้เพียงเพื่อนเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ไม่จำเป็นต้องกังวล
เฟิ่งชิงเฉินเองก็ยิ้มออกมาพร้อมตีมือของหวังจิ่นหลิง “เจ้าจำคำพูดของเจ้าเอาไว้ให้ดี หากในอนาคตใครรังแกข้า ข้าจะไปหาเจ้าทันที เจ้าจำไว้ว่าจะต้องช่วยข้าจัดการเขา”
“พวกเราจะไปกันเอง” เสด็จอาเก้ายื่นมือออกไป เซวียนเส้าฉีคืนสัญลักษณ์การนำทัพของทหารสามหมื่นนายให้กับเสด็จอาเก้าอย่างไม่ลังเล “เสียชีวิตไปหนึ่งพันคน มีอีกสามร้อยคนที่ได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่ในเผ่าเสวียนเซียวกง เมื่อรักษาหายแล้วข้าจะส่งพวกเขากลับไป”
“อีกฝ่ายยังเหลืออีกเท่าไหร่?” แบบนี้เขาถึงรู้ว่าตนเองควรทำเช่นไรต่อไป ถึงสามารถทำให้ทหารทั้งแสนนางอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล
เมื่อคืนวาน พวกเขาทั้งสามนอนหลับกันอย่างเต็มอิ่ม แต่เซวียนเส้าฉีนั้นต่อสู้มาตลอดทั้งคืน แถมตอนท้ายอีกฝ่ายยังโจมตีเข้ามา ซึ่งมันทำให้เซวียนเส้าฉีโกรธ ดังนั้นเซวียนเส้าฉีจึงทำการโจมตีกลับไป จากการต่อสู้เมื่อวาน อีกฝ่ายน่าจะเหลือกันอยู่ไม่มาก
“ประมาณห้าหมื่น” จากจำนวนนี้ มันคือตัวเลขพื้นฐานที่ยังไม่ชัดเจน
ในเวลาเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืน คนของฝ่ายตรงข้ามครึ่งหนึ่งถูกฆ่าตาย ต้องบอกว่าเผ่าเสวียนเซียวกงนั้นยิ่งใหญ่ และแน่นอนว่าเผ่าเสวียนเซียวกงเองก็ต้องจ่ายทหารกว่าเจ็ดพันคนที่บาดเจ็บล้มตาย
เหตุใดทหารของเผ่าเสวียนเซียวกงจึงได้รับบาดเจ็บมากกว่าทหารจำนวนสามหมื่นนายของเสด็จอาเก้า?
ง่ายมาก เซวียนเส้าฉีหยิ่งยโสและดื้อรั้นเกินไป แม้เสด็จอาเก้าจะมอบอำนาจในสั่งการทหารสามหมื่นนายให้เขา เขาก็ไม่มีทางทำเหมือนว่าทหารสามหมื่นนายเป็นผีไร้วิญญาณ หากทั้งสามหมื่นนายถูกกำจัดจนสิ้นซาก หรือว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส แบบนั้นก็เท่ากับว่าเขาไร้ความสามารถ
เซวียนเส้าฉีเป็นคนห่วงชื่อเสียงของตนเอง ต่อให้ตนเองต้องสูญเสียมากแค่ไหนก็ไม่มีทางยอมให้เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงรู้ว่าเขาต้องสูญเสียไปมากแค่ไหนกับการต่อสู้ครั้งนี้
“ความสามารถในการต่อสู้ของเผ่าเสวียนเซียวกงนั้นช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน” เสด็จอาเก้ากล่าวออกไปอย่างไม่จริงใจ หากให้เปลี่ยนคำพูด กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขารู้สึกว่าเซวียนเส้าฉีนั้นโง่เกินไป
มีทหารสามหมื่นนายอยู่ในมือ แต่กลับยอมเสียผลประโยชน์ของตัวเอง ง่ายโง่เหลือเกิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ
ไม่ต่อให้จบเหรอคะ นานแล้ว แวะมาบอกกล่าวกันบ้าง...
ขอบคุณน่ะค่ะที่ต้องอดหลับอดนอนอัพเดต สู้ๆๆๆๆน่ะค่ะเป็นกำลังใจให้ค่ะ ผู้อ่านก็ไม่ได้หลับได้นอนเหมือนกัน ติดงอมเลย...
ง่ายๆๆยึดอำนาจ...
มาต่อได้ไหมมมมมมมม พลีสสสสสสสสสสสสสสสสส...
Update ให้หน่อยค่ะ จอดอยู่ที่ 1430 นานแล้ว ขออีกสัก 29 ตอนนะคะ Pleaseeeeee Admin ที่น่ารัก...
ไม่อัพเดตแล้วหรอค่ะ...
สามารถซื้ออ่านผ่านช่องทางไหนได้บ้างค่ะ...
ไทม์ไลน์บอก อัพถึง บท1459 แต่ยังดูได้แค่ บท1430...
Update ให้หน่อยคร่า รออ่านอยู่ คร่า...
ไม่ Update นานแล้ว ไปเที่ยวเพลินเลย สงสารคนรอเถอะ เข้ามาทุกวัน อ่านช้ำไป 2 รอบแล้ว...