“บังอาจ! ถึงกับกล้าไร้มารยาทกับนายน้อยหรือ!”
สีหน้าเฟิงเหยียนเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เมื่อก่อนฉูลิ่งล้วนหลบเลี่ยงเขา ยามนี้กลับกล้าต่อล้อต่อเถียงกับเขาแล้ว
ติดที่ฉู่หยุนหานอยู่ด้วย เฟิงเหยียนอยากรักษามาดที่ความจริงก็ไม่มีอยู่เล็กน้อย จึงห้ามคนคุ้มกัน
เพียงแต่เขายังเห็นความดูถูกเกลียดชังจากสายตาของหยุนหลิงเหมือนเดิม “ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับผู้หญิงหยาบกร้านเช่นนี้หรอก ขี้เหร่ปานนี้ ก็มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่เอาเข้าไปได้”
“คุณชายเฟิง ระวังคำพูดด้วย!”
ฉู่หยุนเจ๋อสีหน้าดูไม่จืด ต่อให้เขาไม่ชอบน้องสาวคนนี้อย่างไร นางก็เป็นคนของจวนเหวินกั๋วกง
“ข้าพูดผิดตรงไหน หญิงคณิการะดับล่างสุดของหอเซียงหมั่น รูปลักษณ์ก็ยังเหนือกว่าฉู่หยุนหลิงร้อยเท่าพันเท่า ส่งมาถึงหน้าประตูข้ายังรังเกียจคลื่นเหียนเลย”
ลูกน้องที่อยู่ข้างตัวเฟิงเหยียนปกติโอหังจนเคยตัวพลันหัวเราะเอิ๊กๆ ขึ้นมา
“แม้แต่หญิงนางโลมก็ยังสู้ไม่ได้เลยไม่ใช่หรือ ยังต้องอาศัยการวางยาถึงมีผู้ชายยอมแตะ!”
นี่กำลังกล่าวถึงเรื่องเหม็นโฉ่ในงานเลี้ยงคืนเทศกาลโคมไฟ ฉู่หยุนเจ๋อหน้าแดงก่ำ โกรธจนตัวสั่น
แม้ยังเช้าอยู่ แต่บนถนนก็มีคนจับกลุ่มเป็นสองเป็นสามสัญจรแล้ว ต่างเบนสายตาอยากรู้อยากเห็นมา
หยุนหลิงกลับไม่โกรธ แต่มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำลังรวบรวมพลังวิญญาณอยู่
พลังของนางยังไม่ฟื้นคืนทั้งหมด แม้ไม่สามารถสังหารได้ในคราวเดียว แต่ก็ทำลายศูนย์ประสาทของอีกฝ่ายได้แบบไม่มีปัญหา
ไม่รอให้หยุนหลิงลงมือ เซวียนอิ่งที่อยู่ด้านข้างโคลงตัว บุรุษที่ยังหัวเราะด้วยความโอหังเมื่อครู่สีหน้าแข็งทื่อในบัดดล ล้มลงกับพื้นช้าๆ
เลือดตรงลำคอของเขาประหนึ่งน้ำพุ เมื่อมองอย่างละเอียดกลับถูกแหวนอังคุฐหยกขาววงหนึ่งแทงทะลุเป็นแอ่งเลือด
นั่นคือแหวนอังคุฐของเซียวปี้เฉิง
เฟิงเหยียนอยู่ใกล้ ถูกเลือดกระเซ็นสาดใบหน้าครึ่งซีกอย่างไม่ทันป้องกัน สีหน้าขาวเผือดถอยหลังสองสามก้าว สองขาอ่อนยวบ
ไม่เพียงแต่เฟิงเหยียน พวกฉู่หยุนหานก็ด้วย ถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว
หยุนหลิงเห็นแล้วก็รู้ว่าเฟิงเหยียนเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวไม่เคยเห็นคนตาย
“เซียว เซียวปี้เฉิง เจ้าถึงกับกล้า!”
เฟิงเหยียนจ้องเซียวปี้เฉิงเขม็ง ราวกับไม่ชื่อว่าเขาจะลงมือ
“ทำไมจะไม่กล้า เฟิงเหยียน ข้าอดทนกับเจ้ามานานแล้วนะ”
เซียวปี้เฉิงมองเขาตามเสียง นัยน์ตาดำสนิทคล้ายมองไม่เห็นก้นบึ้ง ชวนให้คนครั่นคร้าม
“คนของเจ้าพูดจาลบหลู่ชายาของข้า เดิมก็ควรประหารอยู่แล้ว”
แม้เขาจะไม่ชอบฉู่หยุนหลิง แต่อีกฝ่ายเป็นชายาของเขา จะให้นางถูกลบหลู่อย่างไม่มีสาเหตุไม่ได้
“สำหรับเจ้า...หากวันนี้ข้าจะหักมือเจ้า ก็คือเป็นเรื่องไปถึงศาลต้าหลี่และจินหลวนเตี้ยน ข้าไม่กลัวหรอก”
เฟิงเหยียนหน้าขาวเผือด มองเซียวปี้เฉิงด้วยแววตาแววตาหวาดกลัว
สองปีมานี้ หลังจากดวงตาเซียวปี้เฉิงมืดบอดแล้วก็อยู่อย่างเงียบเชียบ
นานจนเขาเกือบจะลืมแล้วว่าบุรุษผู้ถูกขนานนามว่าเทพสงครามแห่งต้าโจวเคยทำให้คนครั่นคร้ามขนาดไหน
ฉู่หยุนหานที่อยู่ไกลๆ มองเซียวปี้เฉิงเงียบๆ มือที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่นขึ้นนิดๆ
แม้จะรู้ว่าเฟิงเหยียนยั่วยุก่อน แต่เห็นเขาออกหน้าให้ฉู่หยุนหลิงแล้วก็ยังไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
ทันใดนั้นหยุนหลิงก็รู้สึกว่าแม้เซียวปี้เฉิงจะทำหน้าขึงขัง ทำอย่างกับโลกนี้ติดหนี้เขาพันแปดร้อยล้านอย่างนั้น แต่บางครั้งก็ดูรื่นตามาก
หวงกุ้ยเฟยต้องการให้เขาปกป้องเยียนอ๋อง เสด็จพ่อต้องการให้เขาปกป้องบ้านเมืองต้าโจว หลินซินต้องการให้เขาดูแลศิษย์น้องฉู่หยุนหาน
แต่เหมือนทุกคนจะเคยชินกับการปกป้องของเขา คิดว่าเขาคือเทพสงครามที่ไม่มีวันล้ม คิดว่าสิ่งเหล่านั้นที่เขาทุ่มเทเป็นเรื่องที่พึงกระทำอยู่แล้ว
แม้หลังจากที่ดวงตาของเขามือบอด เผชิญกับความสะเทือนใจและการกลั่นแกล้งเสียดสีจากเฟิงเหยียนหลายครั้ง พวกเขาก็ยังบอกให้เขาอดทน ผ่านมันไปให้ได้
ไม่มีใครคิดจะออกมาปกป้องเขา แม้จะเป็นฉู่หยุนหานก็ตาม
หยุนหลิงไม่เห็นความผิดปกติของเซียวปี้เฉิง ยังเดินประชิดเฟิงเหยียนเรื่อยๆ
“ส่วนเจ้า เฟิงเหยียน กระทั่งทั้งสกุลเฟิง แต่ไหนมาก็สยายปีกดั่งหงส์ฟ้า ตระกูลผู้มีการศึกษา ไม่รู้สึกเคารพเลื่อมใสซาบซึ้งใจก็ช่างเถอะ แต่ยังพูดจาลบลู่หาเรื่องวีรบุรุษของต้าโจวอีก!”
“ข้าก็อยากจะถามเสนาบดีฝ่ายซ้ายเฟิงเช่นกัน หรือว่าเขาอบรมลูกหลานสกุลเฟิงเช่นนี้หรือ!”
ถ้อยคำของหยุนหลิงชักนำจิตใจคนยิ่ง แม้นางจะมีรูปโฉมน่ากลัว แต่กลับมีเหตุผลทุกถ้อยคำ สีหน้าจริงจัง เต็มไปด้วยพลังจูงใจ
เมื่อก่อนเฟิงเหยียนวางอำนาจบาตรใหญ่ ไม่เป็นที่ชอบของผู้คนอยู่แล้ว ยามนี้คนผ่านทางเห็นเขากล่าวลบหลู่จิ้งอ๋อง แม้จะเป็นตุ๊กตาดินปั้นที่ปราศจากอารมณ์ก็มีอารมณ์โกรธสามส่วนแล้ว
“ใช่ ถ้าไม่ใช่จิ้งอ๋องก็เหล่านักรบ พวกคงแก่เรียนพวกนี้ยังจะนั่งอ่านหนังสืออยู่ในโถงเรียนได้เงียบๆ หรือ”
“จิ้งอ๋องอายุสิบห้าก็เข้าสนามรบแล้ว มีผลงานมากมาย หาใช่ผู้ที่พวกคนต่ำทรามจะเทียบได้”
“เฟิงเหยียนผู้นี้ปกติโอหังวางอำนาจนัก ไม่เคยได้ยินว่าเขามีผลงานโดดเด่นอะไรในการศึกษา ตอนนี้ยังกล้าเหยียบหัวจิ้งอ๋องอีก”
“เสนาบดีฝ่ายซ้ายเฟิงคุณธรรมสูงส่งชื่อเสียงเกรียงไกร ทำไมถึงอบรมคนรุ่นหลังออกมาได้เช่นนี้ ให้ข้าว่านะ การถีบเมื่อกี้ดีนัก!”
ปกติคนทั่วไปไหนเลยจะกล้าหาเรื่องเฟิงเหยียน แต่วันนี้มีหยุนหลิงนำหน้า ทุกคนต่างเจ้าพูดทีหนึ่ง ข้าพูดทีหนึ่ง คนมาก ความกล้าก็มากตามไปด้วย
เฟิงเหยียนโมโหจนหน้าเขียวปัด ใหญ่โตอยู่ในเมืองหลวงมานาน เคยได้รับความอัปยศเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไร
เขามองหยุนหลิงด้วยสายตามาดร้าย แทบอยากสับนางเป็นหมื่นชิ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายาหมื่นพิษ