หนานกงเย่เข้าไปดู แล้วทำความเคารพองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ ไม่รอให้กล่าวองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็โบกสะบัดมือด้วยสีหน้านิ่งเฉย กล่าวว่า “ช่างเถิด”
“.…....”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปด้านหน้า บนเตียงมีคนนอนอยู่ด้วยสีหน้าขาวซีดเผือด บนใบหน้าของพระสนมเอกเซียวจวินเซียวเซียวเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ใต้เตียงมีเลือด อีกทั้งบนกระโปรงก็มีด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ทันได้คิดอะไรมากมาย ก็รีบเร่งเดินไป จับชีพจรบริเวณข้อมือของจวินเซียวเซียว
มองดูแล้วเลยรีบหยิบยาออกมาแล้วยัดเข้าไปในปากของจวินเซียวเซียว
“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”ฉีเฟยอวิ๋นเป็นหมอ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดกาล มองเห็นคนไข้เจ็บป่วยนั้นไม่สามารถทำเป็นไม่สนใจได้
จวินเซียวเซียวฝืนอ้าปากกล่าวว่า “ก่อนหน้ารู้สึกเจ็บปวดมาโดยตลอด ตอนนี้รู้สึกค่อนข้างมีอาการชา เลือดเยอะมาก!”
พูดอย่างไม่ดี เสียงร้องไห้ของจวินเซียวเซียวแหบแห้งเป็นอย่างมากแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นปลอบโยนนางว่า “เขาปลอดภัย ยังนับว่าแข็งแรงดี เพียงแต่ต้องทำอย่างที่ข้าบอกนะ เช่นนั้นก็จะไม่เป็นไร”
“จริงหรือ?”จวินเซียวเซียวกล่าวอย่างไร้ความคาดหวังแล้ว
“จริงเพคะ”
จวินเซียวเซียวหันไปมองทางด้านขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้นั่งลง แล้วกอบกุมที่มือของจวินเซียวเซียวกล่าวว่า “ข้าเชื่อ เชื่อว่าหรงเอ๋อร์จะไม่เป็นอะไร พระสนมเอกก็เช่นกัน”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไร้ความสามารถเพคะ ไม่สามารถปกป้องเขาได้”จวินเซียวเซียวร้องไห้ขึ้นมา
“พระสนมเอกต้องควบคุมอารมณ์ได้ ไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อครรภ์นะ”
จวินเซียวเซียวกลั้นสะอื้นแล้วหลับตาลง
ฉีเฟยอวิ๋นหลบออกมาแล้วมองหมอหลวงที่นั่งอยู่บนพื้น จากนั้นกล่าวว่า “เตรียมเป่าไทหวัน เชิญแม่นมที่อยู่ในพระราชวังมา สำหรับบุคคลอื่นถอยออกไปชั่วคราว และก็เชิญฝ่าบาทเคลื่อนออกด้วยเพคะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้วางมือจวินเซียวเซียวลง และไปพูดคุยกับฉีเฟยอวิ๋นว่า “ทั้งหมดต้องพึ่งพาเจ้าแล้วนะ”
“หม่อมฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถแน่นอนเพคะ”ฉีเฟยอวิ๋นรีบตอบกลับ
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองจวินเซียวเซียวซ้ำๆ แล้วหมุนตัวออกไปด้านนอก หนานกงเย่ก็ตามออกไปด้วยเช่นกัน
ฉีเฟยอวิ๋นนำยามาต้มควบคุมด้วยตนเอง และได้สั่งให้แม่นมทำความสะอาดทั้งตัวให้กับจวินเซียวเซียว และนำชุดเครื่องนอนเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด
ทั้งหมดเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเรียกให้คนมานำชุดเครื่องนอนออกไปด้านนอก และยังต้องให้คนเฝ้าไว้ด้วย
จวินเซียวเซียวหลับลึก ฉีเฟยอวิ๋นตรวจจับแมะชีพจรมั่นใจว่าจวินเซียวเซียวไม่เป็นอะไรแล้ว ถึงได้ออกไปพบองค์จักรพรรดิอวี้ตี้และหนานกงเย่ที่อยู่ด้านนอก
“เป็นอย่างไรบ้างหรือ?”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เห็นประตูที่อยู่ทางด้านหลังเปิดออก เลยหมุนตัวไปมองฉีเฟยอวิ๋นที่เดินออกมา
ฉีเฟยอวิ๋นอยากจะคุกเข่ากล่าวกราบทูล ก็ได้ถูกองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ประคองขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “พูดเถิด”
ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้กล่าวว่า “เป็นหงฮัวเพคะ”
“หงฮัว?”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ชะงักงันเล็กน้อย ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า มองเห็นผ้าห่มที่ส่งออกมาเหล่านั้น มุ่งเดินตรงไป
จากนั้นโค้งเอวหยิบขึ้มมาสูดดม แล้วยื่นให้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ และกล่าวว่า“เชิญฝ่าบาทเพคะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เดินมาด้านหน้าผ้าห่ม หยิบมันมาสูดดม แล้วกล่าวว่า “มีกลิ่นของหงฮัวอยู่บ้าง”
“เป็นหงฮัวชนิดหนึ่งที่หาได้ยาก หงฮัวประเภทนี้ฤทธิ์ยาไม่ได้เหี้ยมดุร้ายอย่างกลิ่นชะมด แต่ทว่ากลับมีพิษร้ายแรง เมื่อคนที่ตั้งครรภ์สัมผัสเป็นเวลานาน ก็จะทำให้แท้งได้เพคะ
หม่อมฉันเชื่อว่า ยาหงฮัวนี้พระสนมเอกเซียวไม่ได้สัมผัสเพียงวันสองวันนี้แน่ เพียงแต่วันนี้หม่อมฉันได้พบเจอพระสนมเอกเซียว แต่ทว่าไม่ได้กลิ่นสูดดมกลิ่นสิ่งของชนิดนี้อยู่บนร่างกายพระสนมเอกเซียวเลย ชัดเจนว่าบุคคลที่ทำเรื่องนี้ต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คือต้องเป็นคนข้างกายของพระสนมเอกเซียวเพคะ”
เป็นผู้ใดฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากจะไปคาดเดา แต่ถึงอย่างไรเป็นคนที่ชำระล้างกลิ่นฉางหงฮัวให้กับพระสนมเอกเซียวได้ทุกเวลาก็ใช่แล้ว
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้แววตาเย็นชากล่าวว่า “คนข้างกายหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นเงียบขรึม องค์จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวอย่างราบเรียบว่า “เรื่องนี้ไว้แค่นี้ก่อน รอพระสนมเอกเซียวไม่เป็นอะไรแล้วค่อยไต่ถาม”
แต่ว่าเธอควรที่จะคอยอยู่ที่ตำหนักจิ่นซิ่ว ต้องการให้เธอไปทางพระพันปีด้านนั้นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด?
ตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นเดินทางไปหนานกงเย่ก็ได้ส่งคนติดตามอารักขาฉีเฟยอวิ๋นด้วย ผู้ติดตามยังมีนางกำนัลไม่กี่คน เหล่านางกำนัลมองดูแล้วรู้สึกว่าคุ้นเคยบ้าง ตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นใกล้จะถึงตำหนักเฉาเฟิ่ง ถึงนึกขึ้นได้ว่า นางกำนัลที่ติดตามมาด้วยไม่กี่คนนั้น ล้วนเป็นคนของพระพันปี
พอเข้ามาที่พระตำหนักของพระพันปีคือได้มีการมารอฉีเฟยอวิ๋นอยู่นานแล้ว
“ไห่กงกง เจ้าออกไปด้านนอก ข้ามีเรื่องที่จะกล่าวกับอวิ๋นอวิ๋น”
พระพันปีรับสั่ง ไห่กงกงเลยรีบพาคนออกไป
“อวิ๋นอวิ๋น สองตำหนักเกิดเรื่อง เป็นเรื่องจริงหรือ? ”พระพันปีกล่าวถามค่อนข้างน่าเกรงขาม ฉีเฟยอวิ๋นก็เดาได้ เรื่องนี้ทำให้พระพันปีตกใจ ไม่อย่างนั้นดึกดื่นเช่นนี้ไม่ได้หวีผมแต่งหน้าก็อยากจะพบเธอเลยหรอก
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวตอบตามความจริง หลังจากที่พระพันปีฟังแล้วดูเป็นปกติอย่างมาก ฉีเฟยอวิ๋นเลยแปลกใจ ว่าใช่พระพันปีเป็นผู้ลงมือหรือไม่
แต่พอคิดอย่างนี้ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ค่อยได้ ฝ่าบาทเป็นโอรสของพระพันปีนะ
แม้ว่าจะไม่ได้ชอบมาก ก็ไม่ถึงขนาดว่าจะต้องตัดขาดหลานเลย
นั่นไม่เพียงแค่เป็นโอรสของฝ่าบาท นั่นยังเป็นหลานของพระพันปีด้วย
“พูดเช่นนี้ก็คือมีคนในพระราชวังลงมือ ก่อจลาจลที่พระราชวัง ต้องการให้ต้าเหลียงของข้าเสียหายหรือ?”พระพันปีกล่าวแล้วลุกขึ้นเดินเคลื่อนไหวในห้องบรรทม
แน่นอนว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าเฉยเมยดูแคลน หลังจากลุกขึ้นแล้วเลยเดินตามไป
“หม่อมฉันไม่รู้เพคะ แต่เรื่องนี้ท่านอ๋องเย่ได้ลงมือตรวจสอบแล้ว เวลานี้ในพระราชวังและนอกพระราชวังล้อมรอบจนแน่นหนา ทั้งเมืองหลวงก็อยู่ในการควบคุม การตรวจสอบ ท่านอ๋องเย่ต้องตรวจสอบได้แน่นอนเพคะ”ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีอะไรจะพูด และสถานการณ์ปัจจุบันเป็นเช่นนี้
พระพันปีหันไปมองทางฉีเฟยอวิ๋น กล่าวด้วยท่าทางที่ไม่ดีว่า “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เลอะเลือนแล้ว!”
ฉีเฟยอวิ๋นชะงักงัน กล่าวว่า “หม่อมฉันไม่รู้ประสาเพคะ”
“เจ้าไม่รู้ประสามาก หรือว่าแม้แต่สิ่งเหล่านี้เจ้าก็ดูไม่ออก หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าคนที่มีชื่อเสียงมากย่อมตกเป็นเป้าโจมตีหรือ?”พระพันปีหมุนตัวกลับไปนั่ง ฉีเฟยอวิ๋นยืนงงอยู่อีกด้าน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ