อวิ๋นหลัวฉวนมองออกไปข้างนอกก่อนจะลากโซ่กลับไปข้างๆ ฉีเฟยอวิ๋น นางนั่งลงและเริ่มร้องไห้เพราะรู้สึกเสียใจกับการตายของตงเอ๋อร์และร้องไห้อยู่อย่างนั้นพักใหญ่
ฉีเฟยอวิ๋นอยู่เป็นเพื่อนจนกระทั่งอวิ๋นหลัวฉวนหยุดร้อง จากนั้นจึงได้ยินอวิ๋นหลัวฉวนพูดขึ้นมาว่า “ข้าฝัน ในฝันนั้นท่านอ๋องตวนมาปรากฏตัวในห้องของข้า แล้วก็เข้ามาหาข้า บอกว่าเขาชอบข้า
ตอนแรกข้าไม่ชอบให้เขาเข้ามาใกล้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในฝันนั้นข้าจึงปฏิบัติต่อเขาผิดไปจากเดิม และข้าก็ค่อนข้างชอบ
เขากับข้าเริ่มรักกัน และข้าก็ค่อนข้างเอาแต่ใจ...”
อวิ๋นหลัวฉวนเขินอายจนหน้าแดง ฉีเฟยอวิ๋นฟังแล้วเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ทันที
“ท่านจะบอกว่า วันนั้นท่านหลับไป จากนั้นก็มีใครคนหนึ่งเข้ามาในห้องและทำเรื่องอย่างนั้นกับท่าน ท่านคิดว่าคนคนนั้นคือท่านอ๋องตวนและไม่ได้ปฏิเสธเขา? จนเมื่อตื่นขึ้นมาท่านจึงรู้เรื่องของไฉฝู ก็เลยคิดว่าตนเองทำเรื่องที่ผิดศีลธรรมลงไป”
ฉีเฟยอวิ๋นแจกแจงต้นสายปลายเหตุ อวิ๋นหลัวฉวนพยักหน้า
ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะอย่างโกรธเคือง “สิ่งที่ท่านทำในความฝันนำมาใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ เรื่องแค่นี้ท่านน่าจะรู้”
“แต่ในฝันนั้นข้าเห็นชัดเจน และมันก็เหมือนจริงมาก ถ้าข้าหลับไปจริงๆ และที่ข้าฝันถึงไม่ใช่ท่านอ๋องตวน ไม่ได้หมายความว่านั่นคือไฉฝูหรอกหรือ ข้าเพียงแค่จำคนผิด แต่ข้าก็ยังคงทำเรื่องแบบนั้นต่อไป”
อวิ๋นหลัวฉวนยิ่งพูดก็ยิ่งน้อยใจ ท้ายที่สุดก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“เขียนทุกสิ่งที่ท่านพูดลงไป เรื่องอื่นข้าจะจัดการให้เอง” ฉีเฟยอวิ๋นส่งกระดาษกับพู่กันให้อวิ๋นหลัวฉวน อวิ๋นหลัวฉวนร้องไห้ไปเขียนคำให้การไปจนเสร็จ
ฉีเฟยอวิ๋นเพ่งมอง แต่ละคำแต่ละประโยคนั้นเต็มไปด้วยความตั้งใจและไร้ซึ่งการเสแสร้ง
แม้แต่เรื่องความฝันนางยังพูด
แม่นางผู้นี้ช่างโง่เขลาจนน่าสงสาร ต้องรู้ว่าเมื่อเปิดเผยคำให้การนี้ไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นไปบ้าง คำพูดของคนนั้นน่ากลัว และอนาคตของเด็กสาวผู้นี้จะต้องพังทลายเป็นแน่
แม้ว่ากฎหมายของที่นี่จะไม่ได้แย่กับผู้หญิงไปเสียทั้งหมด แต่ถ้าพูดกันตรงๆ ผู้หญิงที่นี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าหมูหมากาไก่สักเท่าใดนัก
ถ้าหากทำพลาดขึ้นมา จะมีคนมากมายที่เกลียดคุณ
จุดจบจะลงเอยอย่างเลวร้าย
การที่อวิ๋นหลัวฉวนมีความฝันเช่นนี้ความจริงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลย แต่การพูดออกไปอาจเป็นผลร้ายถึงชีวิต
ฉีเฟยอวิ๋นรับคำให้การนั้นและลุกเดินออกมา
อวิ๋นหลัวฉวนนั่งมองฉีเฟยอวิ๋นจากข้างใน พูดไปร้องไห้ไปว่า “แล้วตงเอ๋อร์ล่ะ”
“วางใจเถิด เรื่องตงเอ๋อร์ข้าบอกให้อาอวี่คอยดูแล้ว ท่านวางใจได้” ฉีเฟยอวิ๋นบรรลุเป้าหมายแล้วและโบกมือเตรียมจะออกไป
“อา?”
สีหน้าของอวิ๋นหลัวฉวนว่างเปล่าและไม่ตอบสนองใดๆ นางไม่เข้าใจสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นพูด ในหัวมีแต่คำที่บอกว่าตงเอ๋อร์ไม่เป็นไร
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดชะงักอยู่ข้างนอกและเอ่ยว่า “ตงเอ๋อร์สบายดี ท่านวางใจได้ ข้าอยากจะให้ท่านร่วมมือกันและบอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ต้องโกหกท่านก็เพื่อตงเอ๋อร์
ท่านต้องทนรับความไม่เป็นธรรมไปชั่วคราวก่อน แล้วท่านจะออกไป ข้าจะตรวจสอบ เพียงแต่มีปัญหาเรื่องเวลาเท่านั้น”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกไปที่ประตูและมองเว่ยหลินชวนอย่างขมึงทึง เว่ยหลินชวนชี้หน้าด่าฉีเฟยอวิ๋น "แต่เดิมได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพฉีจงรักภักดีและอุทิศตนต่อบ้านเมือง สาบานว่าจะถวายความจงรักภักดีแก่เมืองต้าเหลียง เป็นบุรุษผู้ยึดมั่นในคุณธรรม เหตุใดจึงให้กำเนิดคนอย่างท่านออกมา”
“การที่ท่านพ่อให้กำเนิดข้านั้นย่อมเป็นความโชคดีของข้า เรื่องนี้คงไม่ลำบากให้ท่านต้องพูดถึง จั่วจงเจิ้งควรจะรีบไปดูองค์หญิงใหญ่มิใช่หรือ”
“ฮึ รอให้องค์หญิงใหญ่ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าจะดูว่าเจ้าจะทำอะไรได้” เว่ยหลินชวนชี้หน้าและผรุสวาทใส่ฉีเฟยอวิ๋นอย่างโกรธเคือง
ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังจากไปและพูดว่า “อาอวี่ อยู่ที่นี่คอยดูพระชายารองอวิ๋นไว้ สภาพแวดล้อมที่นี่เลวร้ายมาก จั่วจงเจิ้งผู้นี้ยักยอกหาผลประโยชน์ใส่ตัว ถ้าเขาฉวยโอกาสก่อเรื่องตอนที่คนอื่นเผอเรอ ข้าคงจนปัญญาที่จะไปกราบทูลพระพันปี”
“ขอรับ” อาอวี่รับคำและมองฉีเฟยอวิ๋นที่เดินกรีดกรายออกไปจากศาลพิเศษกลางด้วยความกังวล
ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไปบนรถม้าหลังจากออกไป จากนั้นคนคุมม้าจึงรีบพานางไปส่งที่จวนอ๋องตวน
ฉีเฟยอวิ๋นตรงไปหาท่านอ๋องตวนทันทีหลังจากลงมาจากรถม้า
เวลานั้นอ๋องตวนกำลังยืนชมดอกไม้อยู่ที่ลานด้านหน้า เมื่อเข้าไปแล้วเห็นท่านอ๋องตวน ฉีเฟยอวิ๋นจึงเอ่ยอย่างยั่วเย้า “ดูไม่ออกเลยนะเพคะว่าท่านอ๋องตวนจะมีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนี้ จนถึงตอนนี้แล้ว ไฟที่หลังเรือนกำลังลุกโชน แต่ท่านยังคงชมดอกไม้ได้อย่างสบายใจ ช่างน่าเลื่อมใสเสียจริง
กลับกัน ถ้าเป็นท่านอ๋องเย่ หม่อมฉันคิดว่าเวลานี้เขาคงจะกระสับกระส่ายเหมือนมดบนกระทะร้อนๆ เป็นแน่”
“ปากของพระชายาเย่ช่างอาบไปด้วยยาพิษ ด่าคนได้โดยไม่มีคำหยาบเลยสักคำ” อ๋องตวนหันกลับมามองฉีเฟยอวิ๋นก่อนจะหันไปอีกทางซึ่งมีม้านั่งตั้งอยู่ เขาเดินไปและนั่งลงตรงนั้น
แม้ว่าจะไม่ได้ชอบฉีเฟยอวิ๋น แต่เขาก็ไม่ได้เบื่อนาง
ถึงอย่างไรตอนนี้แม้แต่แมลงวันก็ไม่อยากจะบินเข้าไปในจวนท่านอ๋องตวน มีเพียงแค่นางเท่านั้นที่ยังมาหาอย่างไม่สนใจอะไร
ฉีเฟยอวิ๋นถอนสายบัว “คารวะท่านอ๋องตวน”
หนานกงเหยี่ยนรู้สึกขบขัน “นี่เป็นอีกด้านของท่าน เห็นท่านแสดงความเคารพเช่นนี้แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าท่านกำลังคิดร้ายอะไรกับข้าอีกหรือไม่”
“ท่านอ๋องตวน ข้าไม่ชอบฟังอะไรเช่นนี้เลย เมื่อไหร่กันที่ข้าวางแผนคิดร้ายกับท่านอ๋องตวน”
หนานกงเหยี่ยนนิ่งคิดนิดหนึ่งและก็พบว่าเขาไม่มีหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย
เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร ฉีเฟยอวิ๋นจึงถือวิสาสะนั่งลง
นางหยิบคำให้การของอวิ๋นหลัวฉวนที่เก็บไว้ในแขนเสื้อออกมาให้หนานกงเหยี่ยน “นี่คือคำให้การของอวิ๋นหลัวฉวน ท่านอ๋องตวนลองอ่านดูเถิด”
หนานกงเหยี่ยนรับคำให้การไปอ่านและชะงักไปนิดหนึ่ง
เขาหันไปมองฉีเฟยอวิ๋น “หมายความว่า วันนั้นไฉฝูแตะต้องพระชายารองอวิ๋นจริงๆ รึ”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหดหู่ คนผู้นี้ก็ช่างทำให้กังวลเสียจริง
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบพู่กัน หมึกและกระดาษออกมา เพื่อจะได้สะดวกเรื่องคำให้การ นางจึงพกของเหล่านี้ติดตัวไว้ตลอด
แม้ว่าจะเป็นหมอ แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็คิดว่านางอาจจะเปิดร้านขายของโชห่วยสักร้านและหาอะไรมาขาย เช่น หมึก พู่กัน กระดาษ ที่ฝนหมึก หรือกระเป๋าสะพายหลังก็ได้ทั้งนั้น
คนโบราณเมื่อออกไปไหนมาไหนมักจะถือกระดาษกับหมึกพู่กันด้วยมือ ถ้าทำกระเป๋าออกมาจะต้องขายดีแน่ๆ
เมื่อนำกระดาษออกมา ฉีเฟยอวิ๋นจึงพูดไปเขียนไป “ข้าจะพูดแค่ครั้งเดียว ถ้าท่านอ๋องตวนจำไม่ได้นั่นก็เป็นเรื่องของท่านอ๋อง”
หนานกงเหยี่ยนไม่พูดอะไร
ฉีเฟยอวิ๋นพูดต่อไปว่า “สมมุติว่าชุนหงวางยาพิษในบ่อน้ำและตงเอ๋อร์ตักน้ำกลับมาให้พระชายารองอวิ๋นดื่ม พิษที่อยู่ในน้ำไม่ใช่ยาพิษสำหรับใช้ปลิดชีพคน แต่แค่ทำให้ประสาทหลอน เสริมด้วยสรรพคุณในการปลุกอารมณ์ ยาชนิดนั้นหลังจากดื่มไปแล้วจะทำให้เพ้อฝันถึงบุรุษที่ชอบ
ในเวลานั้น พระชายารองอวิ๋นฝันว่าอยู่กับท่านอ๋องตวน ที่ด้านนอกมีเสียงตะโกนจับคนคบชู้ ไฉฝูถูกจัดการไว้ล่วงหน้าว่าให้วิ่งเข้ามา ปลดกางเกงออก หลังจากนั้นจึงวิ่งกลับออกไป
เมื่อพิจารณาตามผลของยา พระชายารองอวิ๋นจะได้ยินเสียงเอะอะแล้วตื่นขึ้นพอดี
เพราะเสียงตะโกนโวยวายจากด้านนอกและตงเอ๋อร์ถูกจับเอาไว้ พระชายารองอวิ๋นจึงวิ่งหนีไปอย่างสะลึมสะลือ
เมื่อถูกคนพบเห็นเข้า ทุกอย่างจึงประจวบเหมาะ”
พ่อบ้านไปทำงานที่ได้รับมอบหมายในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นไปพบแขกที่ด้านนอก
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปที่รถม้าและเดินวนไปรอบๆ ก่อนจะถามว่า “เหตุใดเสด็จอาองค์หญิงใหญ่จึงอยู่ในนี้กันนะ”
“หากข้าไม่มา เจ้ายังจะไปที่ศาลพิเศษกลางเพื่อทำลายข้าหรือไม่ล่ะ”
น้ำเสียงของพระองค์ราบเรียบทว่าทรงพลัง ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินแล้วก็รู้ทันทีว่าคนผู้นี้ค่อนข้างจะรับมือยาก
“เสด็จอาใหญ่ตรัสสิ่งใดกันเพคะ ลูกสะใภ้คิดจะไปเยี่ยมเสด็จอาใหญ่ตั้งนานแล้ว เป็นท่านอ๋องที่บอกว่าเสด็จอาใหญ่ยุ่งมาก และหม่อมฉันก็ไม่มีหน้าออกไปพบเจอเพราะเกรงว่าจะทำให้เสด็จอาใหญ่เคราะห์ร้าย
แม้กระทั่งคราวนี้ ลูกสะใภ้ก็ไม่ใช่ว่าจะไปหาเสด็จอาใหญ่ เพียงแต่ลูกสะใภ้ต้องจัดการเกี่ยวกับคดี คนที่ศาลพิเศษกลางทำให้ลูกสะใภ้ลำบากใจ ลูกสะใภ้จึงทำเรื่องที่โง่เขลา
เดิมทีวันนี้ที่ไปศาลพิเศษกลางก็เพื่อจะไปขออภัยเสด็จอาใหญ่ แต่กลับถูกจั่วจงเจิ้งขวางไว้
เมื่อนึกถึงว่าปกติตนเองมุทะลุแค่ไหน หม่อมฉันจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม
ไม่คิดว่าเสด็จอาใหญ่จะเป็นห่วงหม่อมฉันจนต้องมาหาถึงที่นี่
ลูกสะใภ้ปลื้มใจเป็นอย่างยิ่งเพคะ
เกิดเรื่องขึ้นจนอยากจะไปพบเสด็จอาใหญ่ ไม่คิดว่าเสด็จอาใหญ่จะมีพระทัยนึกถึงหม่อมฉัน”
ทังเหอที่เดินเข้ามาในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นกำลังพูดอยู่ตัวสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัว นี่คือองค์หญิงใหญ่ พระชายาเห็นท่าจะไม่ดีแล้ว
ทังเหอกลัวและไม่ได้เข้าไปใกล้
เมื่อได้ยินพระชายาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนและพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับใจ ทังเหอก็ถึงกับปาดเหงื่อแทน
เป็นอีกครั้งที่ทังเหอได้พบเห็นความคาดเดาไม่ได้ของพระชายา
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งฉีเฟยอวิ๋นก็ได้ยินเสียงขององค์หญิงใหญ่หนานกงเกาหยางดังออกมาจากรถม้า “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าท่านแม่ทัพฉีให้กำเนิดบุตรสาวที่น่าเกลียดน่าชัง วันนี้ได้มาเห็น เป็นดังที่คิดจริงๆ
ข้าดูก็รู้ ปากนั่นช่างร้ายกาจนัก
หรือว่าแม่ทัพฉีไม่ยอมพูดอะไรและปล่อยให้เจ้าพูดจนหมด”
ม่านบนรถม้าเปิดออก สตรีอายุประมาณห้าสิบกว่าๆ ซึ่งสวมเสื้อคลุมสีม่วงงดงามตระการตาเดินออกมาโดยมีเว่ยหลินชวนซึ่งรอมานานแล้วรีบเข้ามาประคอง
เมื่อเห็นเว่ยหลินชวน ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที เขาต้องได้ยินที่นางพูดเมื่อครู่นี้เป็นแน่ แต่เขากลับซ่อนตัวเงียบๆ อยู่ที่หลังรถม้าเป็นนานไม่ยอมเคลื่อนไหวใดๆ นางเองก็ไม่ทันสังเกต นี่มันจะมากเกินไปแล้ว!
หนานกงเกาหยางลงมาจากรถม้าและมองไปทางฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบเดินไปหาและย่อตัวถวายบังคมต่อพระพักตร์องค์หญิงใหญ่ “ลูกสะใภ้ถวายบังคมเสด็จแม่... อ๊ะ... ไม่ใช่ ถวายบังคมเสด็จอาใหญ่เพคะ”
หนานกงเกาหยางชะงักไปนิดหนึ่งแล้วจึงตรัสขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าจึงยังแยกไม่ออกอีกว่าใครเป็นใคร ฟ้ามืดจนมองไม่เห็นหรืออย่างไร”
“เสด็จอาใหญ่ไม่ทรงทราบ ตั้งแต่ลูกสะใภ้เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็นคนที่งดงามจนทำให้ลูกสะใภ้หลงใหลแค่เพียงสองคนเท่านั้น
คนหนึ่งคือเสด็จแม่ คนหนึ่งคือเสด็จอาใหญ่
เมื่อครู่เสด็จอาใหญ่ลงมา ลูกสะใภ้จึงมองผิดไป”
ทังเหอที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลพูดได้แค่ว่า
พระชายาช่างพูดเรื่อยเจื้อยได้ตาใสจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ