จวินเซียวเซียวออกมาจากพระตำหนัก มองเห็นฉีเฟยอวิ๋นเลยยิ้มออกมาอย่างน่ารักกล่าวว่า “พระชายาเย่มาแล้วหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่คุ้นชิน ความรู้สึกที่จวินเซียวเซียวให้นั่นคือความรู้สึกของการเป็นสหาย ทุกครั้งที่พบเจอล้วนแล้วแต่มีความสุขตลอด
“วันนี้เข้าพระราชวัง ไม่มีที่ไปเลยเดินเล่นไปเรื่อยเพคะ”ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปหาจวินเซียวเซียว แล้วถอนสายบัว ผู้หญิงของฝ่าบาท ต่อให้ฐานะต่ำต้อยอย่างไร ก็ไปผู้หญิงของฝ่าบาท
ฐานะของเธอสูงส่งอย่างไร ก็คือเทียบไม่ได้
จวินเซียวเซียวประคองฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นกล่าวว่า “ไม่ต้องมากพิธีหรอก พระชายาเย่มาข้าก็มีความสุขมาก ”
ฐานะวันนี้ของจวินเซียวเซียวไม่เหมือนกับอดีตที่ผ่านมา การพูดการจาก็ไม่ต้องมากพิธี
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “หม่อมฉันก็ไม่อะไร พระสนมไม่ต้องทำเช่นนี้หรอกเพคะ”
“ข้าไม่ใช่พระสนมอะไรนั่นแล้วล่ะ เรียกข้าว่าพระสนมเซียวก็พอ”
“พระสนมก็คือพระสนม ฐานะไม่สามารถสับสนปนเปได้เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้ามาอย่างเกรงใจ จวินเซียวเซียวรีบเรียกให้คนเตรียมน้ำชามา ฉีเฟยอวิ๋นมองไปบริเวณรอบห้อง เก็บกวาดได้สะอาดมาก แต่ไม่สามารถปกปิดความหนาวเหน็บของที่นี่ได้
“พระสนมพักอยู่ที่นี่สบายดีหรือไม่เพคะ?”ฉีเฟยอวิ๋นถาม จวินเซียวเซียวเลยพยักหน้าตอบรับ
“ก็ดีเพียงแต่ไม่รู้ว่าเหมันตฤดูเป็นอย่างไร ที่นี่หนาวหรือไม่?”จวินเซียวเซียวกล่าวด้วยท่าทางที่เรียบเฉย
“พระสนมมีครรภ์ช่วงเหมันตฤดู ช่วงปลายสารทฤดูองค์รัชทายาทของฝ่าบาทประสูติ สภาพแวดล้อมที่นี่ไม่ดี หม่อมฉันเชื่อว่าฝ่าบาทจะมารับพระสนมกลับตำหนักจิ่นซิ่วเพคะ”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างราบเรียบ เพียงแค่เด็กคลอดออกมา ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่มีทางปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมกับจวินเซียวเซียวหรอก
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ”
จวินเซียวเซียวก้มศีรษะลง และลูบสัมผัสบริเวณหน้าท้องของตนเอง
“พระชายาเย่ ได้ยินว่าฝ่าบาทขังท่านอ๋องเย่ไว้ เป็นเพราะเรื่องนี้พระชายาเย่เลยได้รับผลกระทบไปด้วยใช่หรือไม่เพคะ?”จวินเซียวเซียวถามอย่างตรงไปตรงมา ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม
ถึงอย่างไรเธอก็มาเยี่ยมจวินเซียวเซียวที่นี่ จวินเซียวเซียวเห็นเธอเป็นสหาย ถามเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ฉีเฟยอวิ๋นคิดสักครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ไม่ได้กังวลเป็นห่วงท่านอ๋องเย่หรอก เขาสุขภาพแข็งแรง เขาไม่ได้ทำ แน่นอนว่าไม่เป็นไร หม่อมฉันเพียงแค่เป็นห่วงกังวลสุขภาพของท่านอ๋องตวนเพคะ”
พูดถึงท่านอ๋องตวนจวินเซียวเซียวเลยถามว่า “ท่านอ๋องตวนบาดเจ็บหนักขนาดนั้นเชียวหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า กล่าวว่า “ชีวิตของท่านอ๋องตวนสามารถดับสิ้นได้ตลอดเวลา หม่อมฉันเป็นห่วงท่านอ๋องตวนมาก”
“ผู้คนเหล่านั้นเหตุใดถึงได้กำเริบเสิบสานเช่นนี้นะ?”จวินเซียวเซียวไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก
“ในเมื่อกล้าลงมือ ยังกลัวการไม่กำเริบเสิบสานหรือ?”ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงสักพักหนึ่ง แล้วลุกขึ้นมองบริเวณรอบห้อง ไม่มีอะไรน่ามองน่าดูแล้วเลยออกมา
“พระชายาเย่จะไปแล้วหรือ?”จวินเซียวเซียวเดินออกมาส่งฉีเฟยอวิ๋น ด้านนี้ค่อนข้างมืด จวินเซียวเซียวต้องการไปส่งฉีเฟยอวิ๋น เลยยกโคมไฟไปด้วย
นางกำนัลต้องการส่ง จวินเซียวเซียวสั่งให้กลับไป และเดินไปส่งฉีเฟยอวิ๋นเพียงลำพัง
“ร่างกายของพระสนมไม่เอื้ออำนวย กลับไปเถิดเพคะ หลีกเลี่ยงการเกิดเรื่องพลาดพลั้ง”ฉีเฟยอวิ๋นก็กลัวจะรับผิดชอบไม่ไหว
จวินเซียวเซียวหันกลับไปมอง และมองบริเวณโดยรอบด้วย
จากนั้นหยุดแล้วจวินเซียวเซียวจึงกล่าวว่า “พระชายาเย่ ข้ามีเรื่องจะขอร้องไถ่ถาม”
“พระสนมพูดได้เลย”
ฉีเฟยอวิ๋นชำเลืองมองโดยรอบ ไม่มีคนแล้ว จวินเซียวเซียวจงใจมาส่งเธอนี่เอง
“ครั้งก่อนที่เกิดเรื่องกับข้า ได้ยินว่ามีพิษของฉางหงฮัว พระชายาเย่เป็นหมอ ยาฉางหงฮัวนั่นมาได้อย่างไรกัน?”
จวินเซียวเซียวอยากถามมาโดยตลอด แต่ไม่มีโอกาสเลย
ฉีเฟยอวิ๋นคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “พิษของฉางหงฮัวไม่รู้ว่ามาจากที่ใดเพคะ แต่พิษนี้เจอบนผ้าห่มเพคะ
จำได้ว่าก่อนที่พระสนมจะเกิดเรื่องหม่อมฉันพบเจอพระสนม ยังพูดเรื่องชี่ของหัวใจอุดกลั้นกันอยู่เลย
แม้ว่าตอนนั้นจะรู้สึกว่าพระสนมค่อนข้างแปลก แต่ไม่ได้สัมผัสได้ถึงพิษของฉางหงฮัวเลย
กลิ่นพิษของฉางหงฮัวเข้มข้นมาก ข้ามีความรู้สึกไวต่อยามาก หากว่าบนร่างกายของพระสนมมี แน่นอนว่าต้องพบเจอ
แต่เวลานั้นไม่พบเห็น ชัดเจนว่าผู้ที่กระทำเรื่องนี้ต้องมีแผนการที่แยบยลอย่างมาก
แต่ได้พบเจอบนผ้าห่มแล้ว
นอกจากจะเป็นคนที่อยากปัดความผิดให้คนข้างกายพระสนม ไม่อย่างนั้นก็คือคนข้างกายพระสนมเอง”
จวินเซียวเซียวพยักหน้า กล่าวว่า “ที่แท้ก็คิดเช่นเดียวกันกับข้า”
จวินเซียวเซียวหันไปชำเลืองมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
มีซู่จิ่นยืนถือโคมไฟอยู่ด้านหน้า ด้านหลังของนางมีนางกำนัลติดตามสองคน
หลังจากเกิดเรื่องที่ตำหนักจิ่นซิ่ว จากนั้นคนก็ถูกสังหารหมด
ไม่ง่ายที่ซู่จิ่นจะออกมาได้ คนอื่นเป็นคนที่มาใหม่หมดเลย
เป็นซู่จิ่นหรือ?
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “พระสนมกลับเถอะ หม่อมฉันควรกลับแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากพระตำหนักสุ่ยฮัวถึงได้กลับมาที่พระตำหนักเฟิ่งอี๋
พอเข้ามา ก็มองเห็นป้าคนข้างกายของฮองเฮายืนรออยู่
ป้าซีเป็นคนสนิทข้างกายของฮองเฮา แต่น้อยครั้งที่ฉีเฟยอวิ๋นจะเจอ และครั้งนี้ที่ฉีเฟยอวิ๋นเข้าพระราชวังมาถึงได้เจอ
ป้าซีอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว อายุมากกว่าฝ่าบาท แต่มองดูแล้วนางดูอายุน้อย หากฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ยินคนพูด เดิมทีก็จะไม่รู้เลยว่าป้าซีอายุเท่าไหร่
มองเห็นฉีเฟยอวิ๋นป้าซีก็ถอนสายบัวกล่าวว่า “พระชายาเย่กลับมาแล้วหรือเพคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นมองดูพระตำหนักเฟิ่งอี๋ กล่าวว่า “ป้าลำบากแล้ว ข้าไม่ไปทำความเคารพเข้าเฝ้าฮองเฮาแล้วแหละ จะไปพักผ่อนเลย”
ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวไปทางตำหนักข้างเพื่อพักผ่อน
หลับจนถึงช่วงดึก ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินการเคลื่อนไหวอยู่ตรงประตู เบิกตาโพลงกว้างหันไปมองทางด้านประตู
หน้าประตูมีคน อีกทั้งถือโคมไฟอยู่ด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นลงจากเตียง เวลานี้ใครจะมาหรือ?
คลุมชุดแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นได้หยิบเข็มเงินมา แต่พอถึงหน้าประตูกลับได้ยินเสียงป้าซีกล่าวกับเธอว่า “พระชายาเย่ตื่นแล้วหรือเพคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นชะงักงัน เก็บเข็มเงินไว้แล้วกล่าวว่า “ป้าซีมีเรื่องอันใดหรือ?”
ครึ่งค่อนคืนแล้ว ใครจะรู้ว่าต้องการทำอะไร พูดตรงๆเลย ไม่ใช่เวลานี้หรือที่สามารถสังหารคนได้อย่างง่ายดาย?
ประตูปิดแล้ว องค์จักรพรรดิอวี้ตี้หันเดินไปทางห้องบรรทมของพระที่นั่งบำรุงฤทัย ฉีเฟยอวิ๋นยกดคมไฟเดินตามไป
เข้ามาที่ห้องตำรา หยิบตำราเล่มหนึ่งลงมาจากบนชั้น ชั้นวางตำราเปิดออกเองโดยฉับพลัน ตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋นคือประตูที่มืดมิด
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก้าวย่างเข้าไป ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามเข้าไปติดๆ
เดินเข้าไปด้านในตู้ชั้นวางตำราที่อยู่ด้านหลังได้รวมเข้าหากัน ตรงหน้าเป็นเส้นทางหนึ่ง เป็นเส้นทางที่ไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุด โครงสร้างก่อด้วยอิฐ มีความกว้างประมาณสองเมตร สูงประมาณสองเมตรครึ่ง มีภาพจิตรกรรมวาดบนฝาผนังที่มีรายละเอียดบนหินบนผนังโดยมีแผนที่รูปทางช้างเผือกด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามอย่างระมัดระวัง และมองภาพแผนที่รูปทางช้างเผือกที่อยู่ด้านบนนั้น เธอใจสั่นไหว
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะเก็บสถานที่หนึ่งไว้อยู่
ถึงที่นี่องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ถึงได้เอ่ยปากกล่าวว่า “แปลกใจหรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า กล่าวว่า “แปลกใจเพคะ หม่อมฉันหวาดกลัว”
“ครั้งแรกที่ข้ามาที่แห่งนี้ก็มีความแปลกใจ อีกทั้งหวาดกลัวมาก”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้หัวเราะ เมื่อนึกถึงเมื่อวัยเยาว์ขึ้นมา
“สมัยนั้นข้ายังเด็ก จำได้ว่าเสด็จพ่ออุ้มข้ามาที่นี่ พาข้าเดินผ่านที่นี่ พระองค์บอกว่าที่นี่เป็นที่สถาปนาต้าเหลียง จักรพรรดิเตรียมไว้เป็นเส้นทางที่รักษาชีวิต
มีเพียงองค์จักรพรรดิที่สามารถมาที่นี่ได้
ต้องการให้ข้าเตรียมไว้เมื่อเวลาคับขัน”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวอย่างลังเลใจว่า “แต่ว่าข้าไม่อยากใช้”
“ชะตาของเมืองต้าเหลียงเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า องค์จักรพรรดิเป็นเจ้าปกครองเมืองที่เฉลียวฉลาด โดยพื้นฐานไม่ต้องใช้เส้นทางนี้”ฉีเฟยอวิ๋นคิดอย่างนี้จากใจจริง
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ส่ายศีรษะ กล่าวว่า “มิใช่เช่นนี้ หากการสู้รบแพ้ทำให้ต้าเหลียงล่มสลาย ข้าก็ใช้มัน”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้หันมองฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นกล่าวว่า “อวิ๋นอวิ๋นเป็นคนเฉลียวฉลาด ข้าไม่ใช้ แต่ทว่าต้องการเก็บไว้ เพราะเหตุใดหรือ? ”
ฉีเฟยอวิ๋นคิดสักพักหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “นับตั้งแต่โบราณกาลมา ผู้ชนะเป็นองค์จักรพรรดิผู้แพ้เป็นโจรมันไม่ได้มีอะไรน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวผู้ที่ชนะสามารถที่จะไร้จิตสำนึกเหยียบย่ำกดขี่ผู้แพ้ได้
ผู้ที่แพ้สิ้นชีวิต ล้วนสูญสิ้นทุกอย่าง
แต่ภรรยาและบุตรสาวของเขากลายเป็นอาวุธยุทธภัณฑ์ของผู้ชนะ
พวกนางไม่มีทางยินดีปรีดากับบุคคลผู้ซึ่งเป็นศัตรู เช่นกันก็จะไม่มีทางขอร้องศัตรูแม้แต่น้อย
ภรรยาและบุตรสาวเหล่านั้นจะใช้วิธีการที่ไม่สามารถบรรยายได้เพื่อที่จะยึดกุมให้ถึงแก่ความตาย เพื่อที่จะทำให้อดีตศัตรูอับอายขายขี้หน้า
เหล่าองค์จักรพรรดิที่เป็นผู้ชนะ มักกล่าวพูดว่าพวกเขามีคุณธรรมและเมตตาธรรม แต่ทหารที่อยู่เบื้องหลังคุณธรรมและเมตตาธรรมของพวกเขากลับอับอายขายขี้หน้าอย่างไร้ที่สิ้นสุด"
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ใจลอยเล็กน้อย ยิ้มอยู่เป็นเวลานานกล่าวว่า “อวิ๋นอวิ๋นฟังท่านแม่ทัพฉีมาหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายศีรษะ กล่าวว่า “ไม่ใช่เพคะ เคยอ่านตำรา ท่านอาจารย์ของหม่อมฉันบอกเพคะ”
“ข้าอยากเจอท่านอาจารย์ของอวิ๋นอวิ๋น”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้หมุนตัวแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองคนนับว่าสงบลงอยู่สักพักหนึ่ง
“ฝ่าบาท ดึกดื่นให้หม่อมฉันมามีเรื่องที่จะรับสั่งหรือเพคะ?”เงียบสงบไปสักพักฉีเฟยอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม
องค์จักรพรรดิถึงได้พูดเข้าเรื่อง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ