หนานกงเย่ไปหาอ๋องตวน “จำได้หรือไม่ว่าเป็นวันไหนของเดือนที่แล้ว”
“...วันที่สองที่พวกเจ้าสองสามีภรรยาอยู่ที่จวนกั๋วกง”
หนานกงเย่ชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองหนานกงเหยี่ยน “ท่านแน่ใจนะว่าวันนั้น”
“แน่ใจ”
หนานกงเย่ลองนับ “เช่นนั้นก็คือช่วงต้นเดือนหนึ่งใช่หรือไม่”
“อืม” อ๋องตวนตอบรับ
“แน่ใจนะว่าพวกเขาเจอกัน”
“เดิมทีข้ากลับไปที่จวนอ๋อง คิดว่าฉวนเอ๋อร์จะอยู่ที่จวนกั๋วกง ไม่คิดเลยว่าเมื่อข้ากลับไป จะมีคนมาบอกว่าพวกเขาพบกันบ่อยๆ ทั้งยังบอกด้วยว่าพวกเขาพบเจอกันบ่อยมากตั้งแต่จงชินอ๋องถูกปล่อยตัวออกจากคุก เดิมทีข้าคิดจะอบรมเสียหน่อย
นึกไม่ถึงว่าฉวนเอ๋อร์จะถูกล่อลวงให้เข้าไปในห้องของจงชินอ๋อง ข้าผิดงั้นหรือ”
“แค่กๆ...”
หนานกงเย่ที่ดื่มน้ำอยู่สำลัก
“เจ้าไม่เคยดื่มชารึอย่างไร” อ๋องตวนไม่พอใจ แค่ดื่มชาก็ยังสำลัก
หนานกงเย่จึงวางถ้วยชาและถามว่า “พี่รอง ท่านไม่คิดจะให้พระชายารองอวิ๋นให้กำเนิดบุตรให้ท่านจริงหรือ”
“...ข้ามีจวินฉูฉู่อยู่แล้ว ไม่ควรจะคิดถึงสตรีอื่นอีก ข้าคิดจะซื่อตรงต่อคนคนเดียวไปจนตาย” เวลานี้น้ำเสียงของอ๋องตวนผ่อนคลายลงมาก เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าหนานกงเย่ตรงๆ
หนานกงเย่เองก็ไม่อยากมองอ๋องตวน แต่กลับเกลี้ยกล่อมว่า “ในเมื่อท่านไม่ต้องการให้พระชายารองอวิ๋นให้กำเนิดบุตรให้ท่าน ท่านก็หย่ากับนางเสียดีกว่า แม้ว่าจงชินอ๋องจะไม่ดีก็จริง แต่ท่านดูท่าทางของพระชายารองอวิ๋นสิ ท่านทนได้อย่างไร”
“จงชินอ๋อง? เจ้าไปได้ยินอะไรมาใช่หรือไม่ ช่วงนี้ข้าไม่ได้ยินเรื่องของจงชินอ๋องเลย เจ้า...” ทันใดนั้นอ๋องตวนก็หยุดพูดและลุกขึ้นยืน
“จงชินอ๋องน่าจะไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วไม่ใช่หรือ ฉวนเอ๋อร์มาร้องขอความเมตตาให้แล้ว นางกล้าหาญมิใช่น้อย นางกล้าไปขอให้พวกเจ้าช่วยเรื่องหย่างั้นหรือ”
อ๋องตวนจ้องมองหนานกงเย่ด้วยความเย็นชา
หนานกงเย่ลุกขึ้นยืน “พี่รอง ท่านไม่ชอบพระชายารองอวิ๋นมิใช่หรือ หรือท่านอยากให้พระสนมรองอยู่จนแก่ตายเหมือนพวกแม่นมในวัง
อภิเษกกับท่านแล้วมีชีวิตเสมือนหญิงม่ายน่ะหรือ”
สีหน้าของอ๋องตวนเคร่งขรึมกว่าเดิม “นางอภิเษกกับข้าแล้วก็ต้องเป็นคนของข้า ให้ข้าหย่ากับนางแล้วจะดีต่อนาง นางจะไม่เป็นหญิงม่ายงั้นสิ
ต่อให้หย่าไปแล้ว ใครจะมาแต่งงานด้วย
แต่งงานรับนางเป็นพระชายาเอก? คิดหรือว่านางจะได้รับความรักจากสามี
ใครจะไปรักสตรีที่เคยหย่าร้างมาแล้วลง”
อ๋องตวนโมโหเป็นอย่างมาก
หนานกงเย่ถามกลับ “แล้วถ้ามีล่ะ”
“ถึงมีก็ไม่ได้” อ๋องตวนปัดถ้วยชาทิ้งอย่างโกรธเกรี้ยว อาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างนอกเหลือบมองเข้ามาและเห็นถ้วยชาแตกกระจายอยู่เต็มพื้น
หนานกงเย่กล่าวว่า “เช่นนั้นท่านดูพระสนมรองอวิ๋น ไม่ช้าก็เร็วก็คงตายในมือของท่าน”
“ถึงตายก็เป็นคนของข้า มีลูกผู้ดีมีชาติตระกูลในเมืองหลวงคนไหนบ้างที่มีภรรยาแค่คนเดียว ทำไม เจ้าไม่มีอะไรทำเลยมาก้าวก่ายเรื่องของข้างั้นรึ หรือเป็นเพราะข้าพูดถึงการแต่งงานของเจ้ากับมู่เหมียน ทันทีที่ฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นมานางคงจะมาเอาคืนข้าละสิ”
หนานกงเย่จนปัญญา “ดูเหมือนท่านโกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่ได้ ข้าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว กับคนรู้ใจ ดื่มกันพันจอกยังว่าน้อย คุยไม่ถูกคอ แค่ครึ่งคำก็มากเกิน พี่รองกลับไปเถิด ข้ายังมีสิ่งอื่นต้องทำอีก
อาอวี่ ส่งแขก!”
หนานกงเย่ก้าวออกไป แต่มีหรือที่อ๋องตวนจะยอม “หนานกงเย่ ข้าจะไม่ยอมไปจนกว่าเจ้าจะคืนฉวนเอ๋อร์มาให้ข้า”
หนานกงเย่เอ่ยโดยไม่หันกลับไปมอง “อาอวี่ ตามคนมาส่งท่านอ๋องตวนกลับไป ถ้าเขาวุ่นวายนักก็ทำให้สลบซะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อาอวี่รีบไปตามคน จากนั้นคนประมาณสิบคนพร้อมเชือกและอาวุธก็กรูกันมา อ๋องตวนกัดฟันกรอดเพราะรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงต้องออกไปจากจวนอ๋องเย่เท่านั้น
หนานกงเย่ไปที่จู๋อวิ๋นไจ อวิ๋นหลัวฉวนกำลังงุนงงอยู่ในนั้น ใบหน้าเล็กๆ ของนางซีดเผือดไร้สีเลือด
ฉีเฟยอวิ๋นถาม “ท่านไม่ได้อยู่กับใครเลยจริงๆ หรือ”
“ไม่เลย ข้าท้องจริงๆ งั้นหรือ” อวิ๋นหลัวฉวนสับสนเล็กน้อย ฉีเฟยอวิ๋นทำได้แค่นิ่งเงียบ
อวิ๋นหลัวฉวนร้องไห้สะอึกสะอื้น “ท่านย่า ฉวนเอ๋อร์ไม่รู้จริงๆ”
ใบหน้าของฮูหยินใหญ่ซีดขาวราวกับหิมะ เมื่อมองผู้เป็นหลานที่กำลังร้องไห้ นางก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮูหยินใหญ่จึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เอาละ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ย่าขอถามเจ้าหน่อยว่าเจ้าไม่ต้องการเด็กคนนี้ใช่หรือไม่”
อวิ๋นหลัวฉวนพยักหน้า “อื้ม”
ฮูหยินใหญ่พูดไม่ออก นางหันไปมองฉีเฟยอวิ๋น “นั่นหมายความว่าฉวนเอ๋อร์ถูก...”
ฮูหยินใหญ่เป็นคนที่มีประสบการณ์มาก่อน และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แน่นอนว่าฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าใจ จึงกล่าวไปว่า “ไม่ใช่อะไรอื่นอย่างนั้นหรือ”
หนานกงเย่กล่าวว่า “พระชายารองอวิ๋น แต่ท่านไปจวนจงชินอ๋องเมื่อเดือนก่อน นอกจากนั้นก็ยังไปอีกบ่อยๆ ใช่หรือไม่”
อวิ๋นหลัวฉวนนึกอะไรขึ้นมาได้ “แต่ข้าไม่ได้ไปทำอะไรนะ แค่ไปพูดคุยเท่านั้น”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่เป็นการตำหนิว่าเขาไม่ควรถาม
“เช่นนั้นก็ไม่ใช่จงชินอ๋อง” แน่นอนว่าหนานกงเย่ไม่ได้หมายความเช่นนั้น ฮูหยินใหญ่เองก็มองออกและสงสัยจงชินอ๋อง
“ว่ากันตามเหตุผล ถ้ากราบทูลเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท ท่านอ๋องตวนก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว
อวิ๋นหลัวฉวนส่ายหน้าทันที “ไม่ใช่ ไม่ใช่ของเขา เขาไม่เคยแตะต้องข้า”
ฮูหยินใหญ่ไม่สบายใจ จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไรถ้าไม่ใช่เพราะอ๋องตวนไม่มีความเมตตา ตอนนี้ไม่เหลือหนทางให้ขอความช่วยเหลือแล้ว
“พระชายาเย่ ท่านอ๋องเย่ ข้ารู้สึกขอบคุณพวกท่านอย่างสุดซึ้งที่บอกให้ข้าทราบเรื่องนี้ล่วงหน้า แต่ในเมื่อเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของอ๋องตวน ดังนั้นจึงเก็บไว้ไม่ได้
ไม่ว่าอย่างไร เป็นฉวนเอ๋อร์ที่ต้องขอโทษอ๋องตวน
หลังจากเอาเด็กออกแล้ว ข้าจะพาฉวนเอ๋อร์จากไป ให้นางไปปฏิบัติธรรมที่วัด หลังจากครบหนึ่งปีจึงจะปลงผมบวชเป็นชี ถือเป็นการอธิบายต่อท่านอ๋องตวนและฝ่าบาท”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร พระชายารองอวิ๋นยังเยาว์วัย นางยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจเลย ในโลกปัจจุบันที่นางจากมามันเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการฆ่าคนเสียอีก ต้องจับคนผิดถึงจะถูก จะให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องมารับผิดชอบได้อย่างไร
ฮูหยินใหญ่ประสันมือคำนับ “พระชายาเย่ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ได้โปรดช่วยหลัวฉวนช่วยเอาเด็กออกด้วยเถิด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ