“เรื่องที่เมืองถาถ่านประสบกับปัญหาในตอนนี้ คือบทเรียนหนึ่งของพวกเจ้า และเป็นสถานการณ์ตาต่อตา ฟันต่อฟัน กองทัพทั้งสองฝ่ายทำสงคราม แต่จะไม่ทำร้ายราชทูต ข้าคิดว่ากฎเกณฑ์นี้พวกเจ้าย่อมรู้ดี ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็เป็นถึงพระชายาเย่ของเมืองต้าเหลียงด้วย
ประการที่หนึ่งพวกเจ้าไม่ควรจับตัวข้า ประการที่สองพวกเจ้าไม่ควรสร้างความอัปยศอดสูให้ข้า ประการที่สามไม่มีความเคารพซึ่งกันและกัน
แม้ว่าข้าจะเป็นพระชายาของเมืองศัตรู แต่การมาที่เมืองอู๋โยวของพวกเจ้า ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด เมืองต้าเหลียงไม่ใช่เมืองที่สิ้นฤทธิ์ไร้การปกครอง แต่เป็นแขกคนสำคัญของเมืองอู๋โยว
ข้าตามพวกเจ้ามาที่นี่ได้ เป็นเพราะข้ามาด้วยความจริงใจ แต่พวกเจ้ากลับเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นคนดี สร้างความอัปยศอดสูให้แก่เมืองต้าเหลียงของข้า เรื่องนี้หากไม่มีการอธิบายที่ชัดเจน อย่างว่าแต่เมืองถาถ่านเลย เมืองต้าเหลียงก็สามารถปราบปรามเมืองอู๋โยวของเจ้าให้พังพินาศได้ในชั่วพริบตาเดียว”
ใบหน้าของจวินโม่ซ่างซีดเผือดลงทันใด จากนั้นก็มองไปทางหญิงสาวอัปลักษณ์ตรงหน้าด้วยความสงสัย ในใจก็รู้สึกหวั่นไหวอยู่เล็กน้อย
ถังหลงจึงได้สูดลมหายใจเย็นเข้าปอด เขาเข้าใจได้ในทันที เหตุใดหนานกงเย่ถึงชอบสตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้
หากบอกว่าฉีจือซานเป็นแม่ทัพคนแรกของอันกั๋ว บุตรสาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เกรงว่าก็คงเป็นพระชายาคนแรกที่ยากจะรับมือที่สุดของเมืองต้าเหลียง
และสิ่งที่กลัวที่สุดคือ ไม่รู้ว่าพระชายาเช่นนี้ จะมีอีกสักกี่คนในเมืองต้าเหลียง
เมืองอู๋โยวเริ่มมีความกังวลเสียแล้ว!
หนานกงเย่กุมมือของฉีเฟยอวิ๋นพร้อมกับลูบอย่างแผ่วเบา มืออวบอ้วนข้างนั้นประดุจมือหยกขาวอันงดงามที่ทำให้เขาหลงใหลจนไม่อาจวางมือได้ ทั้งยังมีสิริโฉมงดงามจนน่าพึงใจ
จิตใจที่โอบอ้อมอารีไม่ต้องเอื้อนเอ่ยก็ชัดเจนอยู่แล้ว
สายตาที่นิ่งสงบของฉีเฟยอวิ๋นได้ตกมาอยู่บนใบหน้าของจวินโม่ซ่าง : “องค์รัชทายาทอู๋โยว เมืองอู๋โยวของท่านและเมืองต้าเหลียงของข้าเป็นเพื่อนบ้านกัน พื้นที่ของเมืองก็มีขนาดพอกัน แต่อาณาเขตของทั้งสองเมืองกลับมีความแตกต่างกันอย่างมาก
พื้นที่เมืองต้าเหลียงเป็นที่ราบเรียบ วัฒนธรรมและสังคมกลายเป็นประเพณีขั้นพื้นฐานที่ทุกคนพึงมี อีกทั้งเมืองของข้าก็เจริญรุ่งเรืองมาก เราใช้วัฒนธรรมปกครองบ้านเมือง มีทหารปกปักรักษานำพาความสงบสุขมาให้บ้านเมือง
เมืองของข้าเป็นเมืองที่ได้รับการพัฒนา การค้าขาย มีเส้นทางเดินจากตะวันออกไปตะวันตก ขั้นตอนการบุกเบิกก็ไกลกว่าของพวกเจ้า
แล้วเมืองของข้าก็ยังมี กิจการผ้าไหม ศาสตร์แห่งการชงชา การขนส่งเกลือ ฝ่าบาทของเราก็มีความกตัญญูกตเวที มีการศึกษา.....
ทุกสิ่งทุกอย่าง เมืองของเจ้าล้วนไม่มีทั้งสิ้น
ความมั่งคั่งของพวกเจ้าก็เทียบเทียมเราไม่ได้
ต่อให้สู้กันจริง ๆ พวกเจ้าจะเอาสิ่งใดมาสู้ล่ะ?
ชายแดนของเราล้อมรอบไปด้วยเพื่อนบ้านที่คอยสนับสนุน มีจำนวนมากเหมือนกับเมืองของพวกเจ้า แต่หากพวกเจ้าได้เห็นอาณาเขตเมืองต้าเหลียงของเรา จะพบว่าเราได้ยึดครองเพื่อนบ้านมากมายเหล่านั้นไปแล้ว พวกเจ้า....ไม่เคยกลัวเลยเช่นนั้นหรือ?
วันนี้เจ้ามายั่วยุถึงชายแดน เราเคยส่งทหารม้าไปรอบ ๆ ชายแดนหรือไม่?
ก็ไม่!
ตระกูลฉีมีจำนวนทหารนับแสนและมีกองกำลังทหารที่สามารถบุกประชิดพรมแดนได้ เพียงแต่ติดปัญหาในเรื่องเวลา
นี่แค่ส่วนหนึ่งจากกองกำลังทหารตระกูลฉีเท่านั้น อีกส่วนหนุนอยู่ด้านหลังกำลังเดินทางมา
ชายแดนเมืองต้าเหลียงมีทหารอีกหลายล้านคน นี่เป็นเพียงแค่การประเมินเบื้องต้นเท่านั้น ท่านแม่ทัพฉีก็ยังมีทหารในกองกำลังของตนอีกกว่าหลายแสนคน ตัวเลขนี้น่าตกตะลึงยิ่งนัก!
เมืองของข้าไม่เคยรุกล้ำเมืองของเขา นี่คือวิธีการปกป้องบ้านเมืองของฝ่าบาท
เขามีจิตใจเมตตาและใจกว้าง แต่กลับไม่เคยคิดสังหารหมู่
หากไม่มีคนมารุกรานข้า ข้าก็ไม่รุกรานเขาเช่นกัน หากมีคนรุกรานข้า ข้าจำเป็นต้องตัดรากถอนโคน!
เมืองหลวงของต้าเหลียง มีอัครเสนาบดีราชครูจวินเป็นผู้มีวัฒนธรรม มีฉีกั๋วกงและท่านพ่อของข้าเป็นผู้เก่งกาจในด้านสงคราม......
ที่เหลือท่านอ๋องและจวิ้นอ๋อง องค์หญิงและจวิ้นจู่ วัฒนธรรมประเพณีบริหารดูแลใต้หล้า ทหารที่เก่งกาจจะนำพาความสงบสุขมาสู่บ้านเมือง
เจ้าลองถามดูสิ คนที่ไม่เก่งและห้าวหาญในด้านสงครามผู้นั้น ถามดูสิ .... ว่าเมืองอู๋โยวของเจ้ามีถังหลงกี่คน มีซานเต๋อกี่คน และมีองค์รัชทายาทอู๋โยวกี่คน?”
จวินโม่ซ่างถอยหลังไปหนึ่งก้าว สายตาเหม่อลอย นิ่งสงบเหมือนคนตายก็มิปาน
ฉีเฟยอวิ๋นเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว : “เจ้าได้ยินการใส่ร้าย จึงเลือกทำสงครามที่ชายแดน รุกรานอาณาเขตของต้าเหลียง ลักพาตัวพระชายาเช่นข้า....เรื่องนี้คงจะแก้ไขอย่างเหมาะสมไม่ได้หรอก เมืองต้าเหลียงต้องได้เหยียบย้ำทำลายแม่น้ำและภูเขาของเจ้าให้ราบเป็นหน้ากลอง ทำลายล้างเผาเมืองให้มอดไหม้!”
มือของหนานกงเย่หยุดนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นก็มองไปทางใบหน้าที่เย่อหยิ่งและก้าวร้าวของฉีเฟยอวิ๋นโดยไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาของเขาล้ำลึกยากหยั่งถึง มือของเขาได้กระชับแน่น
จวินโม่ซ่างไม่ได้เอ่ยปากกล่าวต่อ สีหน้าซีดเผือดลงเรื่อย ๆ
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามหนานกงเย่มาถึงที่พัก นางเดินเข้าไปด้านในด้วยความเหนื่อยล้า จากนั้นก็พักผ่อน ไม่ออกไปไหนอีก และไม่อยากเดินชมเมืองถาถ่านด้วย
หนานกงเย่เอ่ยถาม : “ไม่ไปเดินเล่นเสียหน่อยหรือ?”
“ไม่อยากเดิน คนที่นี่เกลียดเรายิ่งกว่าอะไรดี” ฉีเฟยอวิ๋นคำนวณได้ไม่ยาก ว่าคนของเมืองถาถ่านเกลียดชังนางมากน้อยเพียงใด
ไม่มีนาง เมืองถาถ่านก็ปลอดภัย เมื่อนางมา ที่นี่ก็ได้รับความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า
หนานกงเย่นั่งลง และดื่มชา
ฉีเฟยอวิ๋นนอนพักชั่วครู่ ตลอดจนถึงยามราตรี จวินโม่ซ่างก็ไม่ได้มาหาพวกเขาอีก ฉีเฟยอวิ๋นมองดูเวลา จึงได้ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า : “ท่านอ๋อง ท่านมีแผนการใด อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะถึงเวลานัดหมายแล้ว หรือจะเป็นดั่งที่ท่านกล่าว จะเคลื่อนทัพมาทำลายล้างเมืองถาถ่านละเจ้าคะ”
“ทุกครั้งที่ข้าเอ่ยข้าได้ชั่งใจไว้แล้ว หากเขาไม่ยอมจำนน เช่นนั้นก็ทำได้แค่วิธีการนั้น”
“แต่ชาวบ้านจำนวนมากเหล่านี้....” ฉีเฟยอวิ๋นเป็นหมอ เมื่อนึกถึงภาพที่ชาวบ้านตาดำ ๆ โดนเข่นฆ่าย่อมทนไม่ได้
แรกเริ่มนางเองก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายผู้ใด เพียงแต่นางโดนจับตัวมา จวินโม่ซ่างต้องการปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนาง นางโกรธจึงได้ลงไม้ลงมือทำร้ายเขา
“อวิ๋นอวิ๋น นี่คือสงครามระหว่างสองเมือง ข้าไม่ได้เล่นสนุก ข้าต้องปกป้องเมืองต้าเหลียง ไม่มีทางเลือกอื่น”
“เช่นนั้นหม่อมฉันคงต้องกลับไปก่อน หากเห็นคนล้มตายต่อหน้าหม่อมฉันคงไม่สบายใจ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากเห็นเลือดที่เจิ่งนองทั่วผืนดิน
“รอเจ้าแห่งอีกามาก่อน ข้าจะให้เขาพาเจ้ากลับไป”
“แล้วเหตุใดเจ้าแห่งอีกายังไม่มาอีกละเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจ นางไม่เห็นแม้แต่เงา เวลานี้เจ้าแห่งอีกาควรมาได้แล้ว
“คงต้องถามเจ้าแห่งอีกาแล้วละ เขาบินอยู่ในระยะทางห้าสิบลี้ของเมืองถาถ่าน ข้าได้ยินคนรายงาน”
“แล้วที่นั่นคือที่ใดเพคะ? ข้าอยากไปดูเสียหน่อย” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวออกไปโดยไม่คิดสิ่งใด หนานกงเย่มองดูเวลา เห็นว่าเวลายังพอมีเหลือ จึงได้พาฉีเฟยอวิ๋นลงมาและไปยังสถานที่ที่อยู่ในระยะห้าสิบลี้ของเมืองถาถ่าน
ทั้งสองคนนั่งรถม้าไป หนึ่งชั่วยามก็มาถึงยังสถานที่ที่เจ้าแห่งอีกาอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ