ฉีเฟยอวิ๋นเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้ไห่กงกงนำไป
จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็หมดสติ
จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ทำได้เพียงเฝ้ามองสถานการณ์
ครึ่งเดือนต่อมามู่เหมียนก็กลับมายังเมืองหลวงพร้อมกับเฉินอวิ๋นเจี๋ย ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดคิดไม่ถึงนัก
ฉีเฟยอวิ๋นทราบเรื่องก็เหม่อลอยอยู่ในห้อง
หนานกงเย่สืบหาเรื่องของจงชินก็พบเจอบางอย่าง สองสามวันนี้ก็กำลังเร่งเตรียมการในเรื่องนี้
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นคนก็ลุกขึ้นจากเตียง และซักถามเรื่องที่มู่เหมียนกลับเมือง
“ข้าเองก็เพิ่งทราบเรื่องเช่นกัน ดูเหมือนว่ามู่เหมียนและเฉินอวิ๋นเจี๋ยจะกลับเมืองพร้อมกัน” หนานกงเย่เองก็กำลังถามไถ่เรื่องนี้อยู่เช่นกัน
“ท่านอ๋องคิดอย่างไรกับเรื่องนี้เพคะ?” สิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นกลัวคือการบังคับให้มู่เหมียนมายังจวนอ๋องเย่ และด้วยอุปนิสัยของมู่เหมียนเอง เขาต้องไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน
“พูดยากนัก รอดูก่อนเถิด ข้าร้องขอให้เสี่ยวกั๋วจิ้วเข้าวังไปแล้ว ตอนนี้ยังมิทราบเรื่องใดๆ”
“ท่านอ๋อง เป็นไปได้หรือไม่เพคะที่จะบังคับให้มู่เหมียนมายังจวนอ๋องเย่ของเรา?”
“หากเป็นเช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้ถ่วงเวลาไว้ได้สองสามวัน เพียงแต่ เกรงว่าพระพันปีจะมิถ่วงเวลาไว้ เพราะมู่เหมียนเองก็อายุไม่น้อยแล้ว พระพันปีจึงเป็นกังวล”
“……เช่นนั้นเป็นอ๋องตวนหรือเพคะ?”
“......” หนานกงเย่มิได้ตอบ ทั้งสองนั่งลงรอข่าวสาร
อาอวี่กลับจากข้างนอก หนานกงเย่ก็เรียกให้เขาเข้ามา
“ท่านอ๋อง ได้เรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ จวนเสนาบดีกำลังเตรียมการจัดพิธีสมรสพ่ะย่ะค่ะ ส่วนคู่สมรสนั้นก็คือเฉินอวิ๋นเจี๋ย เป็นพิธีสมรสที่พระพันปีสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วหญิงสาวล่ะ?” ฉีเฟยอวิ๋นถามอย่างเป็นกังวล
“เป็นน้องสาวของจงชินอ๋อง หลิงซิ่วจวิ้นจู่พ่ะย่ะค่ะ “ อาอวี่ตอบ ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินก็ไม่มีทีท่าใดๆ
หนานกงเย่กวักมือ อาอวี่ก็ถอยออกไป
ฉีเฟยอวิ๋นมิเข้าใจ : “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“หลิวซิ่วจวิ้นจู่เป็นบุตรสาวคนเล็กของท่านอ๋องห้า เป็นน้องสาวคนเล็กที่คลอดจากแม่คนเดียวกันกับจงชินอ๋อง บุคลิกของนางอบอุ่นและเป็นเด็กดี เป็นหญิงสาวที่ดีคนหนึ่งเลย”
“ท่านอ๋องเพคะ จงชินมิใช่ว่า……”
“แต่ความสัมพันธ์กับพระพันปีแล้ว มิใช่ว่าเป็นกิ่งทองใบหยกเลยหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นนิ่ง
เฉินอวิ๋นเจี๋ยกับมู่เหมียนล้วนเป็นคนน่าสงสารนัก
พิธีสมรสจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกสามวันก็จัดขึ้นแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นยังคงไปจวนเสนาบดีพร้อมกับท้องที่โตของนาง เมื่อเห็นเฉินอวิ๋นเจี๋ย นางมิได้แสดงสีหน้าออกมาแต่อย่างใด ราวกับคนที่แต่งงานมิใช่นางปานนั้น
มองภายนอกเจ้าสาวก็ดูเป็นคนดีคนหนึ่ง ได้ยินมาว่าหลิงซิ่วจวิ้นจู่นั้นเปรียบเหมือนดอกไม้ ซึ่งมิยากนักที่จะคิดว่าหลิงซิ่วจวิ้นจู่จะเป็นหญิงงามคนหนึ่ง
ระหว่างมื้ออาหารเฉินอวิ๋นเจี๋ยรินเหล้าแก้วหนึ่งและเดินไปหน้าฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ ชักชวนหนานกงเย่ดื่มเหล้า
“ดื่มคารวะอ๋องเย่หนึ่งจอก ขอให้อ๋องเย่ดูแลนางดีๆด้วย” พฤติกรรมของเฉินอวิ๋นเจี๋ยทำให้เกิดความโกลาหลให้หมู่ผู้ชม หนานกงเย่เองก็หยิบจอกเหล้าขึ้นและดื่มลงไปอย่างไม่สนใจ
ดื่มเสร็จเฉินอวิ๋นเจี๋ยก็มองไปยังฉีเฟยอวิ๋น : “ทางเขาเส้นหนึ่งทางน้ำสายหนึ่ง ก็เป็นเพียงดอกไม้หน้ากระจกและจันทราบนผิวน้ำเท่านั้น ทุกอย่างเลื่อนลอย มิสามารถครองมันได้”
เสียงของเฉินอวิ๋นเจี๋ยมิดังมาก พูดจบก็เดินจากไป
ฉีเฟยอวิ๋นมองเรือนร่างของเฉินอวิ๋นเจี๋ยที่เดินจากไปอย่างงุนงง มองชุดสีแดงก่ำชุดนั้น ช่างรู้สึกเศร้าโศกเหลือเกิน
สำหรับเฉินอวิ๋นเจี๋ย แท้จริงแล้วนั้นเขาจะแต่งมู่เหมียนหรือหลิงซิ่วจวิ้นจู่ก็มิสำคัญ เพราะคนที่เขาอยากแต่งด้วยนั้นมิใช่นางอยู่แล้ว
หลังจากรับอาหารเสร็จฉีเฟยอวิ๋นก็กลับไปพร้อมกับหนานกงเย่ นางอยากไปดูมู่เหมียนที่จวนต้ากั๋วจิ้วเสียหน่อย เมื่อถึงหน้าประตู ทหารเฝ้าจวนต้ากั๋วจิ้วนั้นเข้มงวดมากจนมิสามารถเข้าไปได้
“มิรู้ว่ามู่เหมียนจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” ฉีเฟยอวิ๋นครั้งนี้แม้นจะโดดลงในแม่น้ำหวางเหอก็มิอาจชำระล้างตนเองได้
ขณะที่เตรียมตัวกำลังจะกลับไป อวิ๋นหลัวฉวน อ๋องตวนและสหายก็เข้ามาพร้อมกัน เมื่อพบหนานกงเย่ทั้งสี่คนจึงได้คารวะ : “พี่รอง”
“พวกท่านก็มาดูมู่เหมียนเช่นกันงั้นหรือ?”
“พี่เสียนเฟยเพคะ ได้ยินมาว่าที่มู่เหมียนถูกกักขังก็เพราะเรื่องที่ไปชายแดนอย่างลับๆงั้นหรือเพคะ?” อวิ๋นหลัวฉวนเดินไปตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น บุคลิกที่เหี้ยมโหดของนางลดลงมาก
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันไปด้วยเพคะ อาจจะเป็นเรื่องมู่เหมียนก็เป็นได้ หากมู่เหมียนอยู่ หม่อมฉันจะได้ขอโทษนางด้วยเพคะ”
“ขอโทษอะไรกัน? ขอโทษต่อหน้าเสด็จแม่เช่นนั้น พระองค์จะทรงถือโกรธเอาได้” หนางกงเย่เตรียมตัวเดินทาง ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามไป
“เช่นนั้น ท่านระวังตัวด้วย!”
“เข้าใจแล้ว!”
หนานกงเย่ออกเดินทางไปยังวังหลวงโดยตรง เดินทางออกไปได้ไม่นานนักไห่กงกงก็มาถึง
อาอวี่จำต้องทูลบอกฉีเฟยอวิ๋นเรื่องที่ไห่กงกงส่งพระราชโองการมา
ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าและเปิดประตูรับพระราชโองการมา
ไห่กงกงเปียกโชกไปทั้งตัว แล้วถวายบังคมต่อฉีเฟยอวิ๋นก่อน จากนั้นจึงกล่าวว่า : “พระราชโองการจากพระพันปี ให้พระชายาเย่เข้าวังประเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
ฉีเฟยอวิ๋นหาข้ออ้างยากนัก จึงทำได้เพียงตามเข้าวังไป
ในวังมีคนมาเยือน รถม้าก็ถูกทำให้กันฝนได้ จึงไม่เปียก ฉีเฟยอวิ๋นเดินทางถึงวังหลวงอย่างปลอดภัย
ไห่กงกงนำทางไปยังนอกตำหนักเฉาเฟิ่ง คอยพระพันปีสั่งให้เข้าไป
ในตำหนักเฉาเฟิ่งบัดนี้มีคนยืนอยู่ห้าคนมีจักรพรรดิอวี้ตี้ ฮองเฮา อ๋องตวน อ๋องเย่และพระชายาตวน
ฉีเฟยอวิ๋นยืนสับสนอยู่นอกประตูครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปถวายบังคม : “ถวายบังคมเสด็จแม่ ฝ่าบาท ฮองเฮาเพคะ”
“มิต้องมากพิธี มาถึงครบแล้วรึ?” พระพันปีสวมชุดบรรทมที่ดูหลวมๆ นั่งอยู่บนบัลลังก์ จัดระเบียบครู่หนึ่งถึงจะเอ่ยปากกล่าว
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น พักนี้ข้าเป็นกังวลใจกับเรื่องพิธีสมรสของมู่เหมียนนัก ตอนนี้มู่เหมียนกลายเป็นเรื่องในใจของข้าไปแล้ว
เมื่อครู่ข้าได้ฝันว่ามู่เหมียนมาร่ำไห้ต่อหน้าข้า เพราะเรื่องพิธีสมรส ข้าเจ็บปวดใจจนตื่นขึ้นมา
เมื่อคิดถึงมู่เหมียน นางเองอายุก้ไม่น้อยแล้ว สมควรแต่งเข้าหาเรือนได้แล้ว
แต่ทว่ามอบมู่เหมียนให้แกคนอื่น ข้าจะวางใจได้อย่างไรกัน มีเพียงพวกเจ้าทั้งสาม ข้าถึงจะวางใจได้
ฮองเฮาเอ๋ย……หากมู่เหมียนถูกตราให้เป็นหวงกุ้ยเฟย เจ้าจะว่าอย่างไร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ