เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นคำว่าภัยแตนนั้น หัวใจของนางก็เสมือนกับว่าได้รับพิษกู่เข้าและก็หวาดกลัวต่อสองคำนี้
คำสองคำนี้นับเป็นเงินสิบล้านตำลึง
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มเจื่อนๆ: "ฝ่าบาท?"
“ไม่ต้องตกอกตกใจ เงินของครั้งก่อนนั้นได้จัดสรรลงไปแล้ว ตอนนี้ในท้องพระคลังไม่ได้มีเงินใดๆแล้วแต่กลับยังไม่ถึงมือของผู้ประสบภัย”
“มีคนสกัดไว้หรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินว่าเกี่ยวกับความอยู่รอดของผู้ประสบภัยก็รีบถามขึ้น
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้พยักหน้า: "สกัดเอาไว้แล้ว เงินก็ถูกยึดไปแล้ว!"
"ฝ่าบาท ผู้ใดช่างกล้าหาญถึงเพียงนี้ถึงได้ยึดเอา......." ฉีเฟยอวิ๋นตะลึงงันและก็กำลังจะคุกเข่าลงแต่ถูกองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ดึงมือเข้ามายังตรงหน้า: "ไม่ใช่อ๋องเย่"
ฉีเฟยอวิ๋นโล่งใจ
“เช่นนั้นคือผู้ใดเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นคิดไม่ออกว่าในเมืองหลวงนั้นนอกจากหนานกงเย่ที่ช่างกล้าเช่นนี้ยังจะมีผู้ใดที่มีความกล้าเช่นนี้อีก
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ชี้ไปยังฝั่งตรงข้าม: "นั่งลงเถอะ วันนี้ข้าต้องการปรึกษาเรื่องนี้กับเจ้า"
“ฝ่าบาท ท่านอ๋องรู้เรื่องนี้หรือไม่เพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เคยได้ยินหนานกงเย่กล่าวถึง
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้จึงได้ทรงตรัสว่า: "เขาจะไม่รู้ได้หรือ เขาเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และเขาควบคุมดูแลสามสำนักหกภาคกระทรวง เจ้าคิดว่านั่นเป็นผู้ที่เลอะเลือนหรือ?"
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้กล่าวสิ่งใด รู้ว่าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ต้องกล่าวถึงคนผู้นี้
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นแล้วเก็บความโมโหเอาไว้บ้างแล้วทรงตรัสว่า: "เป็นต้ากั๋วจิ้วหวังฮวายเต๋อ"
"......" ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ: "ต้ากั๋วจิ้วรับตำแหน่งหน้าที่เสนาบดีสำนักตรวจราชการ อดีตจักรพรรดิทรงจากไปแล้วเขาอยู่ในฐานะเสนาบดี ในตอนนี้เขาได้จับกุมกระทรวงการคลังเอาไว้แล้ว"
“เงินบรรเทาทุกข์ต้องผ่านกระทรวงการคลังแต่เมื่อถึงยังกระทรวงการคลังแล้ว ต้ากั๋วจิ้วถือสิทธิ์ยึดครองเอาไว้ เพียงแค่หาข้ออ้างขัดขวางฝ่าบาทก็สามารถนำเงินไปได้แล้วหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นสีหน้าตกใจ หวังฮวายเต๋อช่างกล้าเกินไปแล้ว เงินบรรเทาภัยพิบัติของฝ่าบาทก็กล้ายึดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“อวิ๋นอวิ๋นกล่าวได้ถูกต้อง ต้ากั๋วจิ้วมิได้สนใจเรื่องในราชสำนักเป็นเวลาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ข้าเริ่มทำราชการเองต้ากั๋วจิ้วก็ได้เกษียณแล้ว แต่เขาได้หางานสบายไว้ให้กับตนเอง อยู่ในเสนาบดีสำนักตรวจราชการกุมอำนาจของกระทรวงการคลัง เพียงแค่ว่าหลายปีมานี้มิได้เคยไปไถ่ถามด้วยตนเอง แต่เรื่องบรรเทาภัยพิบัติในครั้งนี้เขากลับไปไถ่ถามด้วยตนเอง”
ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ: “เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?”
ฉีเฟยอวิ๋นจำได้ว่าแม้ในช่วงเวลาที่หนานกงเย่เสแสร้งแกล้งทำเป็นโมโหก็ไม่เคยกระทำการเช่นนี้มาก่อน
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้นั้นไม่ได้ทรงตรัสสิ่งใด ในสมองของฉีเฟยอวิ๋นนั้นได้ปรากฏใบหน้าของมู่เหมียนขึ้นมา
“เพื่อมู่เหมียนหรือ?”
“มู่เหมียนเข้าวังมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และช่วงเวลานี้ก็ถือได้ว่าเป็นการจำกัดเวลาให้ข้า จนถึงขณะนี้ทางด้านมู่เหมียนยังไม่มีความเคลื่อนไหวอันใด ต้ากั๋วจิ้วก็ต้องวิตกกังวลเป็นธรรมดา”
"......" ฉีเฟยอวิ๋นจนปัญญา เป็นฝ่าบาทนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ มีลูกยังต้องถูกคนบังคับ
“ฝ่าบาท เรื่องนี้นั้นเช่นไรก็ไปหาต้ากั๋วจิ้วจะดีกว่าไม่เช่นนั้น......” ให้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงโปรดปรานมู่เหมียนนั้นฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถเอ่ยปากออกมาได้
มู่เหมียนไม่ได้ชอบพอองค์จักรพรรดิอวี้ตี้นั้นฉีเฟยอวิ๋นรู้ดี
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงพระสรวล: “เช่นนั้นข้าไปหามู่เหมียนยังดีซะกว่า หากต้ากั๋วจิ้วพูดคุยได้ง่ายดายเช่นนั้นจะกระทำการเช่นนี้หรือ?”
“เช่นนั้นฝ่าบาททรงตรัสเรื่องนี้กับหม่อมฉัน ไม่ทราบว่าหมายความว่าสิ่งใดเพคะ?”
“ฮูหยินกั๋วจิ้วเคยได้รับความช่วยเหลือจากอวิ๋นอวิ๋น อวิ๋นอวิ๋นลองดูจะเป็นเช่นไร”
ฉีเฟยอวิ๋นปฏิเสธในทันที: "เรื่องที่ฝ่าบาททรงจัดการไม่สำเร็จหม่อมฉันไปก็เกรงว่าจะไม่ได้การ ฝ่าบาททรงได้โปรดคืนพระบัญชาอย่าได้ทำให้หม่อมฉันลำบากใจเลยเพคะ"
“เช่นนั้นควรทำเช่นไร?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสถามจนฉีเฟยอวิ๋นอึดอัดขึ้นโดยไร้ซึ่งการโต้ตอบใดๆ
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ ฝ่าบาททรงวางพระทัยหม่อมฉันจะเร่งรวบรวมเงินออกมาให้ครบ ” ฉีเฟยอวิ๋นกระตือรือร้นที่จะกลับไปให้เร็ว แม้ว่าจะทุกข์ทรมานจนกระอักเลือดแต่สามารถทำให้นางออกจากวังหลวงไปได้นั้นดีซะยิ่งกว่าสิ่งใด หากว่าอยู่ต่อจริงๆนางไม่กล้าคิดเลยว่าจะมีเงินสิบล้านตำลึงอีกกี่ตัว
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้กลับไม่รีบร้อน: “เช่นไรก็มาแล้วเจ้าออกจากวังผู้เดียวข้าก็ไม่วางใจ มิเช่นนั้นอยู่ต่อเถอะ รออ๋องเย่มารับเจ้าแล้วกลับไปด้วยกัน"
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สะดวกเจรจาจึงได้รับปาก
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ให้ขันทีน้อยเข้ามานำอาหารออกแล้วเดินไปยังตู้ตำราส่งสัญญาณให้ฉีเฟยอวิ๋นฝนหมึก ฉีเฟยอวิ๋นฝนหมึกส่วนองค์จักรพรรดิอวี้ตี้เขียนคำอุทาน
ฉีเฟยอวิ๋นมองตัวอักษรตัวใหญ่นั้น จู่ๆก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น ตัวอักษรของผู้สูงศักดิ์นางไม่เข้าใจ
“ตัวอักษรนี้ดีหรือไม่?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสถามฉีเฟยอวิ๋น
“ดีเพคะ!” ฉีเฟยอวิ๋นหนื่อยยิ่งนัก นางไม่เหมาะที่จะคอยปรนนิบัติผู้อื่นและประจบสอพลอ เกรงว่าไม่ทันได้ระวังจะวางยาพิษอีกฝ่ายไปแล้ว
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงพระสรวล: “อืม!”
ดูเหมือนว่าจะทรงพอพระทัย องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ส่งสัญญาณให้ฉีเฟยอวิ๋นจัดการเก็บให้เรียบร้อยจากนั้นจึงนั่งลงแล้วทรงเริ่มอ่านฎีกาฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ฝั่งหนึ่ง มองดูองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงอ่านฎีกา
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่มีสิ่งใดพูดคุย ฉีเฟยอวิ๋นจะได้ไม่ต้องคิดหาสิ่งใดมาตอบโต้
กระทั่งถึงตอนค่ำ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้จึงได้ทรงวุ่นจนเสร็จสรรพ ส่วนที่เหลืออยู่นั้นองค์จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองดู จากนั้นทรงลุกขึ้นรับสั่งให้จัดพระกระยาหาร
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าค่ำมืดแล้วจึงต้องการไปน้อมทักทายพระพันปีรวมถึงจากไปจากองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ได้
“รับอาหารแล้วข้าส่งเจ้าไป” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ตัดสินพระทัยเอง ฉีเฟยอวิ๋นนั้นก็ไม่สะดวกกล่าวสิ่งใด จึงต้องนั่งลงและทานอาหารกับองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ให้เรียบร้อย
ทั้งสองออกมาจากพระคำหนักบำรุงฤทัยไปยังตำหนักเฟิ่งอี๋ ฉีเฟยอวิ๋นสีหน้าลังเลนี่ไม่ได้ไปตำหนักเฉาเฟิ่งหรอกหรือ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ