ตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกตัวตื่นขึ้น ภายในห้องกำลังมีการพูดคุยอยู่ พระพันปีกำลังตรัสถามไห่กงกงว่าเหตุใดผิวจึงแห้งกร้านเช่นนี้ ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นเดินไปหาและทำความเคารพก่อนจะบอกว่าเหตุใดผิวจึงแห้งในเหมันตฤดู
พระพันปีตรัสอย่างบ่นๆ ว่า “ถึงในวังจะแย่แค่ไหน ข้าก็อยู่ที่นี่มาหลายสิบปี เจ้าจะมาหรือไม่มาก็ไม่สำคัญ!
เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่มีอำนาจละมาเอาใจอยู่ที่นี่ทั้งวัน เวลานี้มีอำนาจแล้วหายหน้าไปเป็นเดือนๆ
ผมข้าหงอกหมดแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบถามว่า “พระเกศาของเสด็จแม่น่ะหรือเพคะหงอกแล้ว”
พระพันปีทรงถอนพระทัย “เมื่อแก่ตัวผมย่อมหงอกเป็นธรรมดา มีเหตุผลอะไรที่มันจะไม่หงอก”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเสียใจเล็กน้อย นางรู้ว่าพระพันปีจะต้องแก่ตัวลง แต่นางคิดไม่ถึงว่าพระองค์จะแก่จริงๆ
“ให้ลูกดูหน่อยนะเพคะเสด็จแม่” ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น พระพันปีโบกพระหัตถ์เป็นเชิงบอกให้ไห่กงกงออกไปก่อน เมื่อไห่กงกงออกไปฉีเฟยอวิ๋นจึงดึงปิ่นปักพระเกศาของพระพันปีออก และก็เป็นอย่างที่คิด ในมวยผมสีดำมองเห็นเส้นผมสีขาวอยู่บางส่วน อีกทั้งเริ่มยาวออกมาแล้วด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นมองดูอย่างละเอียดและเดินอ้อมไปอยู่ตรงหน้าพระพันปี “เสด็จแม่ การเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน นอกจากนี้ใบหน้าจะต้องเสื่อมโทรมลงเป็นธรรมดา เหมือนกับบุปผาที่งดงาม ไม่ว่าจะเริ่มมาดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องเหี่ยวเฉา
ทว่าเสด็จแม่ใช่แค่ชราลง ลูกเคยบอกแล้วว่าเสด็จแม่กับคนทั่วไปนั้นแตกต่างกัน เสด็จแม่จะไม่ชราลงเร็วนัก”
พระพันปีไม่ได้ทรงโกรธ ถึงอย่างไรดอกไม้ก็มีวันต้องร่วงโรยจริงๆ
“ไม่จำเป็นต้องมายอข้า ร่างกายของข้าข้าย่อมรู้ดี” พระพันปีเข้าใจแจ่มแจ้ง
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวต่อว่า “ที่เสด็จแม่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะการบรรทมที่ไม่มีคุณภาพ ทรงงานหนักเกินไป นอกจากนี้ยังเป็นเพราะตับไม่ดีด้วย”
“หืม?” พระพันปีทรงประหลาดพระทัยเล็กน้อย “ข้าป่วยงั้นหรือ”
“เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองพระพันปี พอเริ่มตรวจดูก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติจริงๆ
“เป็นอย่างไร” พระพันปียังคงเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพร่างกายมาก
“ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงเพคะ ช่วงหลังมานี้เสด็จแม่บรรทมไม่ค่อยหลับและมักจะฝันร้ายใช่หรือไม่เพคะ”
"ก็มีบ้าง"
“เสด็จแม่ไม่ค่อยมีกำลังวังชา ซึ่งอาการนี้พบได้มากในสตรี เพียงแต่โดยทั่วไปจะเป็นผู้หญิงที่อยู่ในช่วงอายุสี่สิบเศษๆ สตรีในวัยสามสิบก็อาจจะเป็นบ้างหากดูแลสุขภาพไม่ดี เมื่ออดนอนบ่อยๆ สุขภาพจะอ่อนแอ แต่เสด็จแม่เพิ่งจะเริ่มเป็น ถ้ารีบดูแลก็จะดีขึ้นเองเพคะ”
“งั้นหรือ”
ฉีเฟยอวิ๋นเขียนใบสั่งยาให้ทันที “เสด็จแม่แค่ทำตามที่ลูกบอก ใช้เวลาไม่เกินเจ็ดวันก็จะดูอ่อนเยาว์ขึ้นเพคะ”
“จริงหรือ” พระพันปีทอดพระเนตร และสิ่งแรกที่เห็นคือเหอโส่วอู (พืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง)
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “เสด็จแม่ คืนนี้ให้ข้าทำน้ำร้อนบำรุงผิวให้ดีหรือไม่เพคะ”
“ก็ดี ว่างๆ ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว เจ้าเองก็ไปพักผ่อนเถอะ”
“เพคะ”
หลังจากฉีเฟยอวิ๋นไปพักผ่อนพระพันปีก็มองใบสั่งยาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรับสั่งให้คนไปจัดเตรียมและรอให้ถึงเวลาค่ำ
แต่ยังไม่ทันจะค่ำ จักรพรรดิอวี้ตี้ก็เสด็จมาที่ตำหนักเฉาเฟิ่ง
พระพันปีไม่ได้ดีพระทัยนักเมื่อเห็นโอรสของพระองค์ ทรงตรัสเรียบๆ ว่า “ไฟไหม้พระตำหนักบำรุงฤทัยของฝ่าบาทหรือ”
“ใช่” จักรพรรดิอวี้ตี้ประทับนั่งและทรงเล่นหมากรุกกับพระพันปี จากนั้นพระพันปีจึงทรงตรัสไปเรื่อยโดยไม่สนพระทัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับจักรพรรดิอวี้ตี้
จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นฉีเฟยอวิ๋นจึงลุกขึ้นและเสด็จกลับไป
ประการแรกคือไม่มีความช่วยเหลือจากตระกูลของนาง ประการที่สองคือคนในวังก็ไม่ชอบนาง
แม้ว่าจักรพรรดิอวี้ตี้จะโปรดปรานจวินเซียวเซียวอยู่บ้างและทำให้นางตั้งครรภ์ แต่พระองค์ก็ไม่ได้มีไมตรีต่อนาง
ถ้าหากกล่าวว่าการที่จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงปฏิบัติต่อฮองเฮาคือความรัก เช่นนั้นพระองค์ก็น่าจะพอมีความรักให้มู่เหมียนอยู่บ้าง แต่กับจวินเซียวเซียวนั้นฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่เห็นอะไรเลย
ผู้หญิงตัวคนเดียวใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังอันใหญ่โตโดยไร้ที่พึ่งพิงผู้นี้ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงหว่านหรง ผู้เป็นจักรพรรดินีในจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์จีน
จวินเซียวเซียวดูเหมือนกับหว่านหรงผู้ที่ต้องรอคอย
หนำซ้ำยังน่ารันทดกว่าหว่านหรงเสียอีก
ฉีเฟยอวิ๋นขอตัวออกไปโดยที่ปู้เหวินยังอยู่ที่นั่น จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงกลับไปหาพระพันปี
นางนึกถึงหนานกงเย่ที่ใส่ใจเด็กในครรภ์ของจวินเซียวเซียวและอดแปลกใจไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สนใจเด็กในครรภ์ของฮองเฮาและจวินเซียวเซียวมากนัก
ยิ่งไปกว่านั้นทางฝ่ายฮองเฮาก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ดูเหมือนฮองเฮาจะเป็นคนเดียวที่เฝ้าระวัง นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่หนานกงเย่กังวลคือฮองเฮาใช่หรือไม่
ฉีเฟยอวิ๋นพักผ่อนนิ่งๆ อยู่ในตำหนักเฉาเฟิ่งตลอดสองวัน จนกระทั่งจักรพรรดิอวี้ตี้ออกจากวังเพื่อไปล่าสัตว์ในเหมันตฤดู
เมื่อได้ยินว่าจักรพรรดิอวี้ตี้กำลังจะออกจากวัง ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกมีบางอย่างไม่ถูกต้อง เพราะเวลานี้ฝ่าบาทควรจะอยู่ในวัง จะไปล่าในยามเหมันต์เพื่ออะไร?
จักรพรรดิอวี้ตี้พามู่เหมียนไปด้วยในการออกล่าครั้งนี้ ฉีเฟยอวิ๋นมองจากที่ไกลๆ และเห็นมู่เหมียนอยู่ท่ามกลางฝูงชน นางแต่งกายเหมือนขันทีชั้นผู้น้อยและตามออกไป
การที่ในวังเหลือเฉินอวิ๋นชูและจวินเซียวเซียวอยู่ดูเป็นอะไรที่แปลกประหลาดเล็กน้อย
ไห่กงกงกล่าวว่า “แม้ว่าการล่าสัตว์ในเหมันตฤดูจะมีเป็นปกติ แต่ปีนี้ก็มีเหตุผลพอที่จะเลื่อนออกไปได้ นอกจากนี้ปีที่แล้วๆ มายังมีท่านอ๋องเย่และท่านอ๋องตวนติดตามไปกับฝ่าบาท ปีนี้ท่านอ๋องเย่ไม่อยู่ ส่วนท่านอ๋องตวนก็ได้ยินมาว่าช่วงนี้กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องในราชสำนัก ดูเหมือนฝ่าบาทจะทรงเจตนามอบเรื่องในราชสำนักให้ท่านอ๋องตวนดูแล นั่นจึงทำให้ท่านอ๋องตวนลำบากพระทัย”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกสับสนเล็กน้อย นางรู้สึกว่าต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่าง แต่มันผิดปกติตรงไหนกันล่ะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ