คนที่จะไปล่าสัตว์ออกไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้ออกไปกับไห่กงกง ฉีเฟยอวิ๋นจิตใจสับสนวุ่นวาย ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร
“กงกง ช่วงนี้ฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้อยากจะกล่าวพูดอะไร แต่เธอนึกถึงฮองเฮาได้ เธอรู้ว่าระบบต้องสัมผัสอะไรได้อย่างแน่นอน เลยต้องการชี้แนวทางเธอ แต่การชี้แนวทางนี้ไร้หนทางที่จะทำให้เธอทราบได้
เธอก็ต้องใช้ความพยายามของตนเอง ค่อยๆหาออกมาทีละน้อย
ไห่กงกงกล่าวว่า“ไม่ได้ยินอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮาไม่สนใจเรื่องพระตำหนักหลังมาตั้งนานแล้ว วันนี้คนที่รับผิดชอบดูแลตำหนักหลังคือหรงเต๋อเฟย แม้ว่านางจะอายุน้อย แต่ทว่าสามารถจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยเป็นระเบียบ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เดิมมู่เหมียนก็เป็นผู้มีความรู้ความสามารถยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ตอนที่นางอยู่ในเมืองหลวงก็เป็นหญิงที่หยิ่งยโสโอหังมีพลังอำนาจผู้หนึ่ง เพียงแค่นางมีใจคิดจะแต่งกับท่านอ๋องเย่ผู้เดียว เลยทำให้นางล่าช้า
แม้ว่าเฉินอวิ๋นเอ๋อร์จะเป็นหญิงอันดับหนึ่งในเมืองหลวง แต่ใครก็รู้ มู่เหมียนเป็นหญิงที่ไม่ควรค่าแก่การถูกดูถูกเหยียดหยาม
หากมู่เหมียน…..”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางไห่กงกง จากนั้นกล่าวว่า“กงกง……บางครั้งที่ข้ากล่าวพูดจนละเลยไม่ทันระวัง เมื่อเวลาอยู่ข้างกายท่าน ทำให้ลืมฐานะ มู่เหมียนมีแค่ข้าเรียกใช่หรือไม่?”
ไห่กงกงยิ้มกล่าวว่า“ใครเรียกใครไม่เรียกที่ไหนกัน ปกติหรงเต๋อเฟยนั้นฝ่าบาทก็เรียกว่ามู่เหมียนพ่ะย่ะค่ะ พระพันปีก็เช่นกัน พระชายาเย่สามารถเรียกได้ ชัดเจนว่าไม่สามารถที่จะมองว่าหรงเต๋อเฟยเป็นคนนอกได้
เมื่อสมัยนั้น หากมิใช่พระชายาเย่ ไม่รู้ว่าวันนี้คงจะได้เป็นหรงเต๋อเฟยหญิงอายุน้อยที่ตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ
ใต้เปลือกตาการมองของพระพันปี ก็ไม่สามารถจัดการความวุ่นวายของพวกเขาได้
พูดอย่างสรุป อยู่ด้านในพระราชวัง อยากจะมีชีวิตรอดอยู่นั้นไม่ง่าย หญิงที่อยากมีชีวิตรอดยิ่งไม่ง่ายไปกันใหญ่ จะมาสนใจใส่ใจควบคุมฐานะทางสังคมอะไรนั่นได้ที่ไหนกันล่ะพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า รู้สึกจิตใจสงบขึ้นมาก
ฉีเฟยอวิ๋นเดินทางไปที่ด้านของฮองเฮา ฮองเฮายังคงท่องคัมภีร์เหมือนเดิม ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามเข้าไป ไห่กงกงบอกว่าพระพันปีให้เข้ามาดู เฉินอวิ๋นชูกล่าวไม่กี่ประโยค ก็ได้เดินออกมาจากด้านใน
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามออกมา แล้วไปดูจวินเซียวเซียว ทางด้านนั้นก็ปกติดีทุกอย่าง
ฉีเฟยอวิ๋นดูสาเหตุไม่ออก ถึงได้กลับไปทางด้านของตำหนักเฉาเฟิ่ง พระพันปีกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปเลยได้เรียกเธอไปนั่งลง ฉีเฟยอวิ๋นนั่งไปนั่งมาก็ผล็อยหลับไป
ในความฝันเธอเห็นหนานกงเย่กับฝ่าบาทกำลังล่าสัตว์ด้วยกัน พอเห็นกระต่ายหนึ่งตัว ทั้งสองคนได้ยิงสังหาร ไม่นานกระต่ายน้อยจึงได้ล่วงลงบนพื้น ตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นจ้องมองตากลมของกระต่ายตัวนั้นจึงสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“เป็นอะไรหรือ? ปกติปรับสมดุลให้ข้าอย่างดี เหตุใดตนเองถึงได้สะดุ้งตื่นเพราะฝันร้ายล่ะ?”
พระพันปีกล่าวหยอกล้อขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นยิ่งจิตใจไม่สงบมากขึ้น
“เสด็จแม่ พวกเราผู้ใดเกิดปีกระต่ายหรือเพคะ?”ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ถามเช่นนี้ เธอรู้สึกว่าประโยคคำถามนี้ไม่ใช่เธอที่เป็นคนถาม เป็นระบบที่อยู่ในร่างกายที่ถาม
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนเหงื่อแตก แผ่นหลังเปียกชื้น
หรือว่าเป็นคนที่เกิดปีกระต่าย?
พระพันปีคิดแล้วกล่าวว่า“ฝ่าบาท นอกจากฝ่าบาทแล้วไม่มีผู้ใดหรอก”
พระพันปีกล่าวแล้วยิ้มขึ้นมาว่า“แต่ฝ่าบาทไม่ใช่กระต่ายตัวน้อยนะ”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นมาทันที แล้วกล่าวว่า“แย่แล้ว!”
พระพันปีมองไปกล่าวว่า“เอิกเกริกน่าทึ่งเสียจริง เจ้าจะทำข้าตกใจตายหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบกล่าวว่า“เสด็จแม่ ตั้งแต่ที่ฝ่าบาทออกจากพระราชวังหม่อมฉันก็เริ่มจิตใจไม่สงบแล้วเพคะ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เพิ่งจะฝันเห็นฝ่าบาทและท่านอ๋องเย่กำลังล่าสัตว์ ทั้งสองคนจ้องมองกระต่ายตัวหนึ่ง ผลสรุปเป็นฝ่าบาทยิงธนูสังหารเพคะ
แปลกตรงที่ท่าทางของกระต่ายที่จ้องมองหม่อมฉัน คล้ายจิตใจไม่สงบและไม่ยินยอม ไม่เพียงเท่านี้…….”
“กล่าวมา!”
พระพันปีสีหน้าเย็นชา ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “บนท้องของกระต่ายขาวมีจุดสีแดงเล็กน้อยอยู่ที่หนังที่มีขนติดอยู่ คล้ายดั่งประกายดาว แสบตาอย่างมากเพคะ”
“ห๊ะ?”ไห่กงกงตกใจจนเหงื่อแตก กล่าวว่า“พระพันปี เป็นฝ่าบาทจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นนำแผ่นป้ายออกจากพระราชวัง แล้วรีบมุ่งหน้าไปที่ฐานล่าสัตว์ของราชวงศ์
ระหว่างการเดินทางมีคนชุดดำตามติดตัวฉีเฟยอวิ๋นด้วย ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมอง หนึ่งในนั้นได้กล่าวว่า“กระหม่อมได้รับคำสั่งให้มาปกป้องดูแลพระชายาเย่พ่ะย่ะค่ะ พระชายาเย่มิต้องตื่นเต้นกังวลพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า รีบเดินทางออกไป
ฐานล่าสัตว์ของราชวงศ์ได้จัดทำเพื่อให้ราชวงศ์ล่าสัตว์โดยเฉพาะ ทุกปีช่วงวสันตฤดูหนึ่งครั้ง และช่วงเหมันตฤดูได้จัดเวลาล่าสัตว์หนึ่งครั้ง ส่วนคิมหันตฤดูและสารทฤดูเป็นเพราะอากาศ ได้หลีกเลี่ยงสัตว์ช่วงเวลาผสมพันธุ์
หากยังพยายามจะล่า ก็จะเพิ่มช่วงวสันตฤดูและเหมันตฤดูไปอีกสักครั้งด้วย
ระหว่างการเดินทางฉีเฟยอวิ๋นก็เพิ่งรู้เรื่องนี้ และปีที่แล้วๆมามีการล่าสัตว์ไม่กี่ครั้ง เพียงแต่ปีนี้ไม่รู้ว่าทำไมฝ่าบาทถึงได้มีจิตใจมุ่งอยากไปล่าสัตว์นัก
ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีเวลามาสนใจอะไรมาก ตอนที่มาถึงฐานล่าสัตว์ตูไห่ได้เดินทางมาถึงแล้ว และได้ล้อมรอบฐานล่าสัตว์ไว้
เสี่ยวสวีจื่อรออยู่ทางด้านนอก เวลานี้ก็ร้อนใจอย่างมาก
ฝ่าบาทเขาไปแล้วยังไม่กลับมาเลย
ได้พบฉีเฟยอวิ๋นเสี่ยวสวีจื่อมีความแปลกใจ กล่าวว่า“ท่านคือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าที่จะกระชากหน้ากากออก เกรงว่าจะมีคนลงมือกับเธอ เลยกล่าวเพียงว่า“ข้าคือคนของพระพันปี ฝ่าบาทเล่า?”
เสี่ยวสวีจื่อรู้สึกคุ้นเสียงของฉีเฟยอวิ๋น อย่างอื่นนั้นจำไม่ได้แล้ว
กล่าวอย่างกระวนกระวายใจว่าได้ไปสองชั่วยามแล้ว แต่คนยังไร้วี่แววการกลับมา
“ข้าต้องการเข้าไป พวกเจ้าจำนวนหนึ่งตามข้ามา”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเสียใจภายหลังที่ไม่ได้อุ้มจิ้งจอกหางสั้นมาด้วย หากว่าจิ้งจอกหากสั้นมา ต้องหาองค์จักรพรรดิอวี้ตี้และมู่เหมียนเจอแน่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ