หนานกงเย่มองไปที่ไข่มุก “โทษประหารนั้นสามารถยกเว้นได้ แต่ยากที่จะหลบหนีความทุกข์ทรมาน ตามกฎของจวนแล้ว ต้องตัดเส้นเอ็นมือและเท้า จึงจะสามารถปล่อยคนผู้นั้นไปได้”
“เช่นนั้นไม่ใช่การเอาชีวิตหรอกหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นโกรธ
ฆ่าคนก็แค่หัวตกถึงพื้นเท่านั้น ตัดเส้นเอ็นมือและเท้าก็เท่ากับเป็นคนพิการ แล้วอาอวี่จะมีชีวิตอยู่อย่างไร?
หนานกงเย่ลุกขึ้นไปบนเตียง:“เขาเป็นผู้เลือกทางเดินนี้เอง ข้าไม่ได้เป็นผู้ให้ จะโทษข้าไม่ได้”
“แต่อาอวี่ไม่ได้เป็นคนทำ เป็นอาซิวต่างหาก!”
“ฮึ รู้ไม่น้อยเลยนะ ถ้าหากอาอวี่ไม่ร่วมมือกับอาซิว เขาจะทำได้เหรอ?” สีหน้าของหนานกงเย่ดูเคร่งขรึม และไม่พอใจกับความโง่เขลาของฉีเฟยอวิ๋น ถูกคนอื่นหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัว แถมยังกล้าที่จะอธิบายอย่างไม่รู้สึกกระดากอาย
ฉีเฟยอวิ๋นใช่ว่าจะดูไม่ออกว่าหนานกงเย่ไม่พอใจ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอาอวี่ และสิ่งที่นางพูดก็เป็นความจริง
“อย่างไรก็ตาม หม่อมฉันเชื่อว่าอาอวี่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
ยิ่งไปกว่านั้น หม่อมฉันทำร้ายน้องสาวของอาอวี่ ต่อให้นี่เป็นการแก้แค้นหม่อมฉันก็ถือว่าเป็นสัจธรรมที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีอะไรที่ไม่ถูกต้อง อีกอย่างถ้าหม่อมฉันตาย ท่านอ๋องก็จะได้สบายพระทัย พวกเขาทำเรื่องดีเช่นนี้ ท่านอ๋องควรจะพระราชทานรางวัลถึงจะถูกเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เพียงแต่จะไม่ยอมแพ้ แต่ยังพูดอย่างมีหลักการ
แต่หนานกงเย่ที่ดูน่าเกรงขามก็ไม่ใช่คนที่ดีนัก เขาถามกลับว่า:“กล่าวเช่นนี้ เจ้ายังไม่ตาย ข้าก็ต้องลงโทษพวกเขา?”
สีหน้าของหนานกงเย่ดูเย็นชา และฉีเฟยอวิ๋นก็เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
เถียงสู้ไม่ได้!
หนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างไม่สบอารมณ์ และกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า:“เอาล่ะ ข้าเหนื่อยแล้ว กลับไปเถอะ”
หนานกงเย่เปิดผ้าห่มขึ้นแล้วนอนลง ฉีเฟยอวิ๋นยังคงยืนอยู่ตรงนั้น นางไม่ยอมจากไป
หนานกงเย่หรี่ตามองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลืมตาขึ้นมองฉีเฟยอวิ๋น นางไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้เช่นนี้:“ท่านอ๋องได้โปรดช่วยสนับสนุนด้วยเพคะ อาอวี่ไม่ได้เจตนา น้องสาวของเขาต้องมาตายก็น่าสงสารมากแล้ว หากท่านอ๋องฆ่าเขา เขาก็จะขาดผู้สืบทอดเชื้อสายนะเพคะ”
“ฮึ! ขาดผู้สืบทอดเชื้อสายแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”
“นี่……”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เชื่อว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน
หนานกงเย่กล่าว:“ออกไปเถอะ”
“ท่านอ๋อง ท่านจะปล่อยอาอวี่ไปได้อย่างไร?” ในเมื่อขอร้องเขาไม่ได้ ฉีเฟยอวิ๋นจึงต้องบีบบังคับ
หนานกงเย่ลืมตาขึ้นและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอย่างหงุดหงิดใจ:“ข้าชักหมดความอดทนกับเจ้าแล้วนะ?”
“เช่นนั้นท่านอ๋องก็เฆี่ยนหม่อมฉันเลยเพคะ ระบายโทสะ แล้วปล่อยอาอวี่ไป หรือไม่ก็ตัดเส้นเอ็นหม่อมฉัน…” ฉีเฟยอวิ๋นเสียใจ คำพูดของนางเต็มไปด้วยความยอมจำนนต่อผลกรรม
หนานกงเย่ลุกขึ้นและกล่าวว่า:“นำมีดมาสิ ข้าจะตัดเส้นเอ็นมือและเท้าของเจ้า แล้วจะปล่อยอาอวี่ไป”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นสีหน้าเปลี่ยน ช่างไร้มนุษยธรรมเสียจริง
เมื่อเห็นว่านางลังเล หนานกงเย่ก็นึกสนุกขึ้นมา:“ยังไม่นำมีดมาให้ข้าอีก?”
ฉีเฟยอวิ๋นกัดฟัน และหยิบมีดโยนไปให้หนานกงเย่ นางเดินไปที่เตียงและนั่งลง จากนั้นก็ยกข้อเท้าขึ้น:“เริ่มจากที่เท้าก่อนแล้วกัน ท่านอ๋องได้โปรดรักษาคำพูดด้วยนะเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีทางเลือกอื่น ยอมเจ็บตัวดีกว่าตาย
หนานกงเย่เหลือบมองมีดที่อยู่บนเตียง และมองไปที่ข้อเท้าของฉีเฟยอวิ๋น เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผิวของผู้หญิงคนนี้ละเอียดและเกลี้ยงเกลา ราวกับหยกใสที่สวยงาม
หนานกงเย่จับที่ข้อเท้าของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นหดตัวลง หนานกงเย่เงยหน้าขึ้นมองฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นหันหน้าหนี
นางเคยจับมีดผ่าตัดมามาก ฆ่าคนก็เคยทำ ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่ามือคู่นี้เปื้อนเลือดมามากน้อยแค่ไหนแล้ว วิ่งฝ่ากระสุนปืนนางก็ไม่กลัว แต่วันนี้นางกลับกลัวความเจ็บปวดจากการตัดเส้นเอ็น และกลัวว่าจะไม่สามารถเดินได้อีก
แม้ว่ายาชีวภาพจะอยู่ในร่างกายของนาง แต่คราวนี้ก็ยังไม่แน่ว่าจะได้ผล ถ้ามีอะไรผิดพลาด นางก็คงต้องเป็นคนพิการ
คนพิการคนหนึ่งมีชีวิตอยู่ในที่ที่อันตรายเช่นนี้ ไม่อยากจะคิดถึงจุดจบเลย
คนที่โหดเหี้ยมเช่นนั้น คงจะเคี้ยวนางจนเหลือแต่กระดูก
“เจ้ากลัวเป็นด้วยหรือ?” หนานกงเย่นึกถึงฉากก่อนหน้านี้ และใช้นิ้วมือลูบไปที่ข้อเท้าของฉีเฟยอวิ๋นเบา ๆ
มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านปลายนิ้วของเขา น่าแปลกมาก
หนานกงเย่เปลี่ยนเป็นอีกมือหนึ่ง และยังคงลูบต่อไป ฉีเฟยอวิ๋นหลับตาแน่น:“เร็วเข้าสิ”
“ข้าไม่รีบ เจ้าจะรีบร้อนอะไร?” พูดจบหนานกงเย่ก็เอามือออก เขาหันหน้าหนีและกล่าวว่า:“ออกไปเถอะ อย่าทำให้เตียงของข้าเลอะเทอะ ช่วงนี้ข้าไม่ชอบการเข่นฆ่า เก็บสองมือสองเท้าของเจ้าไว้ให้ข้าก่อนแล้วกัน รอให้ข้าอารมณ์ดีแล้วค่อยว่ากัน”
ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อนางหันหน้าไปมอง หนานกงเย่ก็ล้มตัวลงนอนแล้ว นางโยนมีดออกไปกระแทกเข้ากับขอบประตู จนเกิดเสียงดังอึกทึก
“ข้าต้องการพบอาอวี่ และพาตัวเขาไป”
“พระชายาทรงมีศาสน์หรือป้ายคำสั่งจากท่านอ๋องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
องครักษ์ที่เฝ้าประตูไม่ยอมปล่อยคนไป ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่พ่อบ้านอย่างจนปัญญา พ่อบ้านจึงกู้หน้าให้ในทันที:“พระชายาทรงประทับอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าถ้าหากเกิดอะไรขึ้นพระชายาจะทรงชี้แจ้งให้ท่านอ๋องฟังด้วยพระองค์เอง”
ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะเหอะเหอะ ชี้แจ้ง?
นางต้องชี้แจ้ง?
พ่อบ้านไม่กระดากใจเลยจริง ๆ
“พ่อบ้านพูดถูก ข้าจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือน นางกับหนานกงเย่ไม่ใช่รู้จักกันแค่วันสองวัน
ไม่สำคัญว่าจะมากหรือน้อย
องครักษ์คิดว่าความตายของฉีเฟยอวิ๋นอยู่ไม่ไกล
“พระชายาเชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์หลีกทางให้ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปข้างใน
ข้างในมืดมาก รอบ ๆ ไม่มีหน้าต่างเลย เมื่อเข้าไปข้างในจึงต้องนำตะเกียงไปด้วย
องครักษ์ยื่นตะเกียงให้ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นยกกระโปรงขึ้น และเข้าไปหาคนข้างใน หลังจากที่เข้าไปไม่ไกล นางก็เห็นคนสองคนถูกแขวนอยู่ที่กำแพง
หนึ่งในนั้นคืออาอวี่ และอีกคนหนึ่งฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้จัก แต่นางจำคนที่ขับรถม้าเข้าไปในวังวันนั้นได้ว่าคือคนคนนี้
อาซิว?
ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงคนคนนี้
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่อาซิวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปหาอาอวี่
อาอวี่มีบาดแผลตามร่างกาย เป็นบาดแผลที่ถูกทุบตี บาดแผลแล้วยังต้องทนหิวอีก ไม่ว่าร่างกายจะแข็งแรงสักแค่ไหนก็ยากที่จะทนไหว
ฉีเฟยอวิ๋นบีบปากของอาอวี่แล้วใส่ยาเข้าไปในปากของเขาหนึ่งเม็ด อาอวี่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และมองคนที่อยู่ข้างหน้าอย่างสะลึมสะลือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ