อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ นิยาย บท 349

หยุนหว่านหนิงจ้องมองฉินซื่อเสวียจากมุมหางตาตลอดเวลา

เมื่อเห็นแววตามืดมนของนาง มีหรือที่หยุนหว่านหนิงจะเดาไม่ออกว่านางกำลังคิดอะไรอยู่?

ดูเหมือนว่านางไม่จำเป็นต้องหาทางจัดการกับหนานกงเยว่ ก็มีคนที่เตรียมจะลงมือแทนนางแล้วสินะ.....

ริมฝีปากของหยุนหว่านหนิงวาดขึ้นเป็นรอยยิ้ม "ในเมื่อพี่สะใภ้ใหญ่มีข่าวดี อีกทั้งตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัว ก็ให้นางพักผ่อนที่นี่สักครู่ก่อนเถอะ"

"ใครก็ได้! ไปแจ้งอ๋องฉู่ว่าหลังจากเสร็จงานแล้ว ให้เขามารับพระชายาฉู่ที่ตำหนักคุนหนิงด้วย"

นางร้องสั่งออกไปที่หน้าประตู

ข้าหลวงในวังตอบรับแล้วเดินออกไป

หยุนหว่านหนิงปรายตามองโจวหยิงหยิงอีกแวบหนึ่ง "เจ้าจะกลับไหม?"

“ไม่กลับได้อย่างไรล่ะ? หรือจะให้อยู่ดูแลเสด็จแม่ที่นี่? พวกพี่สะใภ้ใหญ่ก็อยู่กันครบ พวกนางเป็นลูกสะใภ้สายตรงของเสด็จแม่นะ จะให้ข้าอยู่เพิ่มความยุ่งยากหรือไร?”

โจวหยิงหยิงจูงมือนางทันที "ไป ๆ ๆ พวกเราไปกันเถอะ!"

เดิมทีฉินซื่อเสวียกับหยุนธิงหลานก็คิดจะกลับเหมือนกัน

เมื่อได้ยินคำพูดของโจวหยิงหยิง เลยไม่รั้งอยู่ไม่ได้ เพื่อรอจนกว่าฮองเฮาจ้าวจะฟื้น

ขณะที่มองหนานกงเยว่ที่ยังคงสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย คิ้วของฉินซื่อเสวียก็บิดพันกันเป็นเกลียว

.......................

หลังออกจากตำหนักคุนหนิง หยุนหว่านหนิงค่อยถามขึ้นว่า "ไม่ใช่ว่าเจ้าเอาประทัดมาด้วยหรอกรึ? ทำไมไม่จุดล่ะ?"

“จะจุดจริง ๆ รึ?”

โจวหยิงหยิงรู้สึกลังเลขึ้นมาอีกครั้ง

“ไม่จุดจะเอามาด้วยทำไมล่ะ? เอามาเป็นเครื่องประดับรึ?”

หยุนหว่านหนิงทำสีหน้าจนใจ "ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเจ้าก็ไปตำหนักหย่งซี จุดประทัดฉลองให้เว่ยผินหรอกรึ? ทำไมพอเป็นตำหนักคุนหนิงถึงไม่กล้าจุดเสียแล้วล่ะ?"

“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ? ใครบอกว่าข้าไม่กล้า ? เดี๋ยวข้าจะจุดให้เจ้าดูเดี๋ยวนี้แหล่ะ!”

โจวหยิงหยิงแค่นเสียงในลำคอเบา ๆ

นางยังคงพกประทัดติดตัวไว้ตลอด ทั้งไม่กลัวว่าหากเกิดอุบัติเหตุฟืนไฟอะไรขึ้นมากะทันหัน ประทัดในแขนเสื้อจะระเบิดจนตัวเองเละอีกด้วย

โจวหยิงหยิงแขวนประทัดบนยอดไม้ จุดไฟแล้ววิ่งหนีไปทันที

หยุนหว่านหนิงยืนอยู่ใต้กำแพง ได้ยินแค่เสียงประทัดระเบิดเปรี้ยงปร้างดังสนั่นไม่หยุด

พวกข้าหลวงในวังรีบวิ่งเข้าไปตรวจสอบใกล้ ๆ หยุนหว่านหนิงลากตัวโจวหยิงหยิงวิ่งหนีไปทันที

ฉินซื่อเสวียก็ได้ยินเสียงจนรีบวิ่งออกมาดูเช่นกัน ทันเห็นแค่ประทัดที่ถูกแขวนไว้บนยอดไม้ที่ยังดังสนั่นไม่หยุด ส่วนหยุนหว่านหนิงกับโจวหยิงหยิงเผ่นหนีไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วเรียบร้อย!

ทั้งสองสับขาวิ่งอย่างบ้าคลั่ง จนเข้าไปในอุทยานหลวงแล้วถึงค่อยหยุดวิ่งในที่สุด

"เชื่อเจ้าเลยจริง ๆ! ข้ายังคิดอยู่ว่าเจ้าไม่กล้าจุดแล้วนะ"

หยุนหว่านหนิงชี้ไปที่ปลายจมูกของโจวหยิงหยิง พลางหัวเราะชอบใจ

“น่าเสียดายที่เสด็จแม่ยังสลบไม่ฟื้น เลยไม่รู้ว่าข้าจุดประทัดฉลองให้นาง”

โจวหยิงหยิงยกสองมือขึ้นท้าวเอว สองคนพากันหัวเราะจนตัวโยน

หลังจากหัวเราะเสร็จ นางค่อยมองหยุนหว่านหนิงด้วยท่าทางเหมือนคนที่นึกกลัวขึ้นมาภายหลัง "ซวยแล้ว ๆ! จบเห่แน่! เว่ยผินถูกเสด็จพ่อสั่งลงโทษ แต่เสด็จแม่แค่เสียงหาย เสด็จพ่อไม่ได้สั่งลงโทษนางเสียหน่อย!"

“ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูเสด็จพ่อ เสด็จพ่อคงจะไม่สั่งลงโทษโบยข้าด้วยไม้กระดานหรอกนะ?”

เมื่อเห็นท่าทางกระสับกระส่ายไม่สบายใจของนาง หยุนหว่านหนิงก็ยิ้มอย่างคลุมเครือ "เจ้าจะกลัวอะไรล่ะ? มีข้าอยู่ทั้งคนนะ!"

“เจ้าวางใจเถอะ ประทัดที่จุดวันนี้ข้าเองก็มีส่วนด้วย ถ้าเสด็จพ่อจะเอาเรื่องขึ้นมาจริง ๆ ข้าจะออกหน้ารับแทนเจ้าเอง!”

"เด็ดเดี่ยวอหังการดีมาก! มีน้ำใจสุดยอด!"

โจวหยิงหยิงยกนิ้วโป้งให้นาง

ทั้งสองเดินไปที่ห้องทรงพระอักษรไปพลาง โจวหยิงหยิงก็ถามด้วยเสียงแผ่วเบาไปพลางว่า “จริงสิ หนิงเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้เจ้ากับพี่สะใภ้ใหญ่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากไม่ใช่หรือ? ทำไมเมื่อครู่นี้ข้าดูแล้ว เหมือนมีกลิ่นดินระเบิดที่รอการปะทุเลยล่ะ?”

“พี่สะใภ้ใหญ่ไปทำอะไรให้เจ้าขุ่นเคืองเข้ารึ?”

“นางไม่ได้ทำให้ข้าขุ่นเคือง แต่นางยั่วโมโหข้า”

หยุนหว่านหนิงเก็บรอยยิ้มกลับ

เมื่อนึกถึงเรื่องที่หนานกงเยว่เจตนาหยั่งเชิง ในใจนางก็รู้สึกหงุดหงิดมาก!

ถ้าเรื่องมันเกี่ยวพันกับหยวนเป่า ความสัมพันธ์แค่ผิวเผินระหว่างนางกับหนานกงเยว่ก็ไม่นับว่าสำคัญอะไรทั้งนั้นแล้ว!

ใครที่มันกล้ามีเจตนาร้ายต่อลูกชายของนาง ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต นางก็พร้อมจะกำจัดอีกฝ่ายให้หายไปจากโลกใบนี้!

สีหน้าของหยุนหว่านหนิงมืดทะมึนลง "เรื่องนี้เจ้าอย่าเข้ามายุ่งเลยจะดีกว่า! ถ้านางรู้จักสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัว ข้าก็ไม่ทำอะไรนางอยู่แล้ว แต่ถ้านางไม่รู้จักกลับเนื้อกลับตัว ยังคิดจะยั่วโมโหข้าต่อไปล่ะก็...... "

“ข้าก็จะไม่มีทางไว้ไมตรีเด็ดขาด!”

โจวหยิงหยิงอดทอดถอนใจไม่ได้ "ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้ว ข้ากับท่านอ๋องของข้าก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะต่อสู้แย่งชิงอำนาจกับใครเขาอยู่แล้ว ที่คิดก็มีแค่อยากลิ้มลองอาหารแสนเลิศรสจากทั่วทุกมุมโลกเท่านั้น"

“แต่พูดตามตรงนะ มีแค่คนนิสัยอย่างเจ้านี่แหล่ะ ที่อยู่ด้วยแล้วทำให้ข้ารู้สึกเจริญอาหารที่สุด คนอื่นที่เหลือข้าแค่ปรายตามองแวบเดียว ก็แทบจะกินอะไรไม่ลงแล้ว”

หยุนหว่านหนิงหัวเราะเบา ๆ "เจ้ากับข้าช่างมีความคิดตรงกันซะจริง ๆ เลย"

ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องทรงพระอักษรด้วยรอยยิ้ม

ใครจะคิดว่าเพิ่งก้าวขาเข้าประตูไป ก็เห็นข้ารับใช้ของตำหนักคุนหนิงจากไปอย่างรวดเร็ว

โจวหยิงหยิงหัวเราะขบขัน "โย่ว เสี่ยวฝูจื่อคนนี้ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่ยังดูพวกเราจุดประทัดอยู่เลยไม่ใช่รึ? ทำไมมาถึงเร็วกว่าพวกเราอีกล่ะเนี่ย? แอบใช้ทางลัดมาหรือ?"

หยุนหว่านหนิงหรี่ตา "คงมาฟ้องเสด็จพ่อนั่นแหล่ะ"

ชั่วขณะนั้น โจวหยิงหยิงพลันนึกถึงเรื่องที่เมื่อครู่นี้ พวกนางเพิ่งจะจุดประทัดนอกตำหนักคุนหนิงขึ้นมาได้ทันที.....

"ไม่ดีแล้ว!"

นางรีบผลักหยุนหว่านหนิงขึ้นไปข้างหน้า "หนิงเอ๋อร์ เจ้าบอกว่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้เองสินะ!"

“ถ้าเสด็จพ่อจะสั่งตัดหัวก็ให้ตัดหัวเจ้าไปแล้วกัน ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า! ข้าขอไม่เข้าไปแล้วดีกว่า ไปก่อนล่ะนะ ขอให้เจ้าโชคดี!”

พูดจบนางก็หันหลังแล้วสับขาวิ่งทันที

หยุนหว่านหนิงยื่นมือออกไปคว้าตัวนางกลับมา "เจ้าจะกลัวอะไร? ข้าดูเป็นคนประเภทที่จะหักหลังเพื่อนร่วมกลุ่มของตัวเองอย่างนั้นรึ?"

ไหนล่ะที่บอกว่ารู้สึกเสียดายที่ได้รู้จักกันช้าไป? !

ไหนล่ะที่บอกว่าเป็นคู่ชีวิตที่เหมาะสมกันที่สุด?!

คำว่าเสียดายที่ได้รู้จักกันช้าไปสำหรับนางแล้ว มีค่าแค่นี้เองน่ะรึ?!

นางบังคับกอดไหล่ของโจวหยิงหยิงไว้ "เราสองคนเข้าไปข้างในด้วยกันเถอะ"

โจวหยิงหยิงอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา เอาแต่บ่นพึมพำด้วยเสียงแผ่วต่ำว่า "ข้าแต่ท่านเทพเทวาบนสวรรค์ โปรดเปิดดวงตาของท่านมองลงมาด้วยเถิด! ให้เสด็จพ่อตัดหัวของหนิงเอ๋อร์คนเดียว ข้ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยนะ อย่าให้ข้าไปเกิดใหม่ในสภาพที่ยังเป็นผีหิวโหยอย่างนี้เลยนะเจ้าคะ!"

หยุนหว่านหนิงถูกนางเย้าจนรู้สึกขำแทบตายแล้ว

เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ โจวหยิงหยิงคนนี้ต่อให้ใกล้จะตายอยู่แล้ว ก็ยังรู้จักแต่เรื่องกิน!

โจวหยิงหยิงถูกนางกอดคอลากเข้าไปในห้องทรงพระอักษร

เพิ่งจะเดินเข้าประตูมาได้ ก็พบกับสายตามืดทะมึนที่จ้องมองมาของโม่จงหราน

ดูแล้วเหมือนว่า สถานการณ์จะไม่ค่อยดีนัก.....

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อนงค์ใจพระชายาราชสีห์