อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ นิยาย บท 484

สำหรับคนอื่นแล้ว ยกตัวอย่างเช่นโม่เยว่กับหยวนเป่า หยุนหว่านหนิงเป็นคนที่พึ่งพาได้อย่างมั่นคงไม่มีสั่นคลอน

หรือต่อให้เป็นโจวหยิงหยิงกับโม่ฮั่นอี่ว์ หยุนหว่านหนิงก็ยังนับว่าเชื่อถือได้

แต่สำหรับหยุนเจิ้นซงแล้ว.....

ถ้าหยุนหว่านหนิงพึ่งพาได้ แม้แต่แม่หมูก็ปีนต้นไม้ได้แล้วล่ะ!

ปากนั้นของนาง มีไว้เพื่อหลอกปั่นหัวชาวบ้านไปวัน ๆ มีแค่ตาแก่สมองหมูอย่างหยุนเจิ้นซงเท่านั้นแหล่ะที่โง่พอจะเชื่อคำพูดของนาง!

ถึงกับคิดว่านางจะต้องพึ่ง !พา! ได้! แน่ ๆ

หากสามารถแบ่งปันความฉลาดทางสมองกับไอคิวได้ โม่เยว่ยังถึงกับคิดจะแบ่งสมองไปบริจาคให้เขาฟรีสักเสี้ยวหนึ่ง.... พอเห็นหยุนเจิ้นซงที่เอาแต่ก้มหน้างุด แววตาก็กะพริบวาบไม่หยุด

เขาเดาได้เลยว่าหยุนเจิ้นซงต้องถูกหยุนหว่านหนิง "ล้างสมอง" ไปแล้วแน่ ๆ

หยุนเจิ้นซงเป็นพวกขี้ขลาด ที่ครั้งนี้เขากล้าจัดโต๊ะจีนถึงสามสิบโต๊ะในงานเลี้ยง เป็นเพราะมีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง บอกให้เขาทำแบบนั้น

ส่วนคนคนนี้คือใครนั้น ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้

โม่เยว่ดูเหมือนหน้าตาไม่แสดงอารมณ์ แต่ทว่ารอยยิ้มเอ็นดูที่ปรากฏในดวงตาของเขาเหล่านั้น ก็ยังไม่สามารถเก็บซ่อนเอาไว้ได้

"เจ้าเจ็ด ข้าเห็นแววตาแบบนี้ของเจ้าแล้ว รู้สึกสยองจนขนหัวลุกไปหมด"

โม่ฮั่นอี่ว์พูดจิกกัดที่ข้างหูของเขา "ตอนนี้เจ้าคงไม่ได้เป็นโรคจิตไปแล้วหรอกนะ? เจ้ายิ้มให้หว่านหนิงแบบนี้ก็ถือว่าแล้วกันไปเถอะ ทำไมพออยู่ต่อหน้าตาแก่น่ารังเกียจอย่างหยุนเจิ้นซงคนนี้ ก็ยังจะยิ้มเอ็นดูขนาดนี้ได้อีกล่ะ?!"

เขาถึงกับขนลุกขนพองไปทั้งตัว

โม่เยว่ไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย

กับจอมซื่อบื้อโม่ฮั่นอี่ว์คนนี้ เขาไม่มีอะไรจะคุยด้วย

การไปโต้เถียงกับเขา มีแต่จะทำให้ไอคิวของตัวเองลดลงไปเปล่า ๆ

โม่จงหรานทั้งก่นด่าทั้งตำหนิหยุนเจิ้นซงอย่างรุนแรง จากนั้นค่อยพูดว่า "ช่วงนี้มีฝนตกในฤดูใบไม้ผลิอย่างต่อเนื่อง หลายมณฑลในเขตชานเมือง รวมถึงพื้นที่บนภูเขา เหล่าพืชผลทางการเกษตรล้วนถูกน้ำท่วมเพราะฝนตกจนหมด"

เช่นเดียวกับฤดูฝนปีที่แล้ว เพราะฝนตกหนักมากจนเกิดเป็นภัยน้ำท่วม

“ข้าเกรงว่าพืชผลของประชาชนจะเก็บเกี่ยวได้ไม่ดี ดังนั้น เราต้องหามาตรการรับมือล่วงหน้า”

หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง โม่จงหรานก็ช้อนสายตาขึ้นมองหยุนเจิ้นซง "ตอนนี้คลังหลวงกำลังว่างเปล่า ในเมื่อเจ้าสามารถออกเงินจำนวนมากขนาดนั้นเพื่อจัดงานเลี้ยงวันเกิดได้ ก็เห็นได้ชัดว่าจวนกั๋วกงมีทรัพยากรทางการเงินที่แข็งแกร่งนัก"

ในใจของหยุนเจิ้นซงพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้นมา

ฝ่าบาทเยินยอเขาก่อนเสียขนาดนี้ เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ก็คง.....

เป็นไปตามคาด เขาได้ยินโม่จงหรานพูดขึ้นอีกครั้งว่า "ข้ายังได้ยินมาอีกว่ากิจการของจวนกั๋วกงมีอยู่ทั่วหล้า เงินทองไม่เคยขาดมือ"

"ในเมื่อเป็นเช่นนั้น! ครั้งนี้เจ้าก็ออกเงินสักหนึ่งล้านตำลึงไปเติมคลังหลวงไว้ เพื่อเตรียมพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนได้ทุกเมื่อ.... เช่นนี้แล้วข้าก็จะไม่ติดใจเอาความเรื่องนี้อีก!"

ใบหน้าแก่ ๆ ของหยุนเจิ้นซงถึงกับซีดเผือด

หนึ่งล้านตำลึง? !

ในงานเลี้ยงวันเกิดของเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน หยวนเป่าเจ้าเด็กตัวแสบนั่นก็เพิ่งจะหลอกเอาเงินเขาไปหนึ่งล้านตำลึงเต็ม ๆ !

ในวันเดียวกันนั้น เขาก็สั่งให้คนส่งไปที่จวนอ๋องหมิง ถึงค่อยปิดปากหยุนหว่านหนิงกับหยวนเป่าได้.....

ต่อให้จวนหยุนกั๋วกงของเขาจะทำเงินได้ก็จริง แต่เขาก็แบกรับเรื่องฟุ่มเฟือยขนาดนี้ไม่ได้หรอกนะ!

หยุนเจิ้นซงลองคำนวณอย่างคร่าว ๆ เขาในตอนนี้จะไปมีปัญญาควักเงินอีกหนึ่งล้านตำลึงออกมาได้เสียที่ไหน? !

เงินทุนหมุนเวียนในจวนก็มีแค่ไม่กี่แสนตำลึง การจะรวบรวมเงินมาให้ได้ครบหนึ่งล้านตำลึง ก็จำเป็นต้องขายร้านค้า หรือไม่ก็ที่ดินที่นาทั้งหลาย ถึงจะได้เงินครบหนึ่งล้านตำลึง

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่จู่ ๆ เปิดปากมาก็ขอเงินหนึ่งล้านตำลึง หยุนเจิ้นซงคงได้ถลกแขนเสื้อเงื้อกำปั้นทุบตีอีกฝ่ายแบบหนัก ๆ อย่างแน่นอน

แต่จนใจที่คนผู้นี้ เป็นถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบันน่ะสิ.....

นอกจากต้องฝืนกัดฟันกลืนความคับข้องใจลงท้องไปแล้ว เขายังจะทำอะไรได้อีกล่ะ? !

หยุนเจิ้นซงยังไม่ยอมแพ้ วางแผนว่าจะขอดิ้นรนสู้ต่ออีกสักครั้ง

"ฝ่าบาท!"

เขาเงยหน้าขึ้น น้ำตาไหลพราก ๆ ด้วยความคับแค้นใจ "งานเลี้ยงวันเกิดครั้งนี้ทำร้ายจนถึงปราณชีวิตของกระหม่อมอย่างร้ายแรง เงินหนึ่งล้านตำลึงนี้ ในระยะเวลาสั้น ๆ กระหม่อมไม่อาจควักออกมาได้แน่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!"

เขาอยากได้หน้า ทุกอย่างที่ใช้ในงานเลี้ยงวันเกิดล้วนเป็นของดีที่สุด

เรียกได้ว่าฟุ่มเฟือยจนไร้ขีดจำกัด

แต่ของขวัญวันเกิดที่ได้รับ เมื่อรวมกันแล้วกลับไม่คุ้มกับเงินที่เขาจ่ายไปสักนิด......

รายจ่ายผิดสัดส่วนกับรายรับโดยสิ้นเชิง!

งานเลี้ยงวันเกิดครั้งนี้ ใบหน้าแก่ ๆ ของเขาต้องเผชิญกับความอับอายอย่างสมบูรณ์ พิธีการหรือของขวัญก็แสนจะธรรมดา เขาขาดทุนจนเลือดไหลซิบ ๆ เลยเข้าใจหรือไม่? !

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยหลุมบ่อขรุขระ ซึ่งดูแล้วทั้งน่ากลัวทั้งน่าขยะแขยงสิ้นดี

โม่จงหรานเห็นแล้วในใจพลันรู้สึกขยะแขยง "อย่ามองข้า!"

เขาถูกหยุนเจิ้นซงทำให้โกรธจนหลุดเสียงหัวเราะเลยทีเดียว "นี่เจ้าคิดจะต่อรองราคากับข้าอย่างนั้นรึ? เจ้าเห็นว่าข้าเป็นพ่อค้าเร่ข้างถนนอย่างนั้นสินะ?"

“กระหม่อมไม่กล้า.....แต่กระหม่อม กระหม่อมควักออกมาไม่ไหวจริง ๆ!”

หยุนเจิ้นซงสีหน้าขมขื่น แต่ก็ยังกัดฟันก้มหน้าขอต่อรองราคาอย่างกล้าหาญ "ฝ่าบาท หรือไม่ท่านก็ลดราคาให้กระหม่อมสักนิด เงินจำนวนมากขนาดนี้กระหม่อมไม่มีจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ!"

“ถ้าอย่างนั้นก็สองล้านแล้วกัน!”

โม่จงหรานยืนขึ้นทำท่าเหมือนเตรียมจะจากไป ไม่มีท่าทีว่าคิดจะต่อรองใด ๆ กับเขาทั้งสิ้น

เขาค่อย ๆ เดินลากขาออกจากจวนอ๋องหมิงไปอย่างช้า ๆ

ในใจของหยุนเจิ้นซงก็เข้าใจดี ว่าครั้งนี้เขาไม่สามารถโทษหยุนหว่านหนิงได้ แม้ว่านางจะบอกว่าปล่อยให้เขาเป็นคนตัดสินใจ แต่นางรออยู่ตั้งนานขนาดนี้ หยุนเจิ้นซงก็ไม่เกิดเรื่องอะไร

ใครจะรู้ล่ะว่านางเพิ่งจะไปเมื่อวาน มาวันนี้หยุนเจิ้นซงก็เกิดเรื่องเข้าแล้ว

ต่อให้เขามาถามเอาความกับนาง หยุนหว่านหนิงก็สามารถงัดเอาเหตุผลขึ้นมาค้านได้

ยัยตัวแสบคนนี้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเหตุผล นางก็สามารถเถียงจนชนะได้ในที่สุด!

ไม่ควรหาเรื่อง ไม่ควรไปหาเรื่องจะดีกว่า!

หยุนเจิ้นซงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางทอดถอนใจ รู้สึกแค่ว่าฟันของเขายิ่งเจ็บแปลบมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว จึงรีบจากไปโดยที่ยังยกมือขึ้นปิดหน้า เอียงหัวเดินด้วยท่วงท่าที่ดูแปลกประหลาดชอบกล

................................

ในเวลาเดียวกัน ในห้องทรงพระอักษร

โม่จงหรานกำลังครวญเพลงอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่โม่เยว่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหลัง ตรวจทานแก้ไขฎีกาอย่างจริงจัง

โม่ฮั่นอี่ว์คุกเข่านวดขาให้โม่จงหราน ยิ้มประจบประแจงไม่ต่างจากสุนัขรับใช้จอมเลียแข้งเลียขา "เสด็จพ่อ กระหม่อมมีเรื่องเรื่องหนึ่ง อยากขอคำปรึกษาจากเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ"

"ว่ามา"

โม่จงหรานเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ ถือหนังสือนิยายเรื่อง "ไซอิ๋ว" พลิกอ่านอย่างเพลิดเพลิน

หนังสือนิยายเรื่อง"ไซอิ๋ว"เรื่องนี้ ยังคงเป็นหยุนหว่านหนิงที่มอบให้เพื่อ "แสดงความกตัญญู" ต่อเขาเช่นเคย

ในช่วงนี้ โม่จงหรานกำลังเสพติดนิยายเรื่องนี้อย่างหนัก ไม่อาจถอนสายตาจากการอ่านมันได้

เขาจึงโยนฎีกาทั้งหมด ไปให้โม่เยว่จัดการแทน

ถ้าไม่เพราะเขาจำเป็นต้องไปประชุมราชการเช้า เขายังคิดจะแอบอู้ไม่ไปด้วยซ้ำ

ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่ว่าจะช่วงดึกก่อนเข้านอน ไปจนถึงตอนลืมตาตื่นในตอนเช้า เขาเป็นต้องหยิบ "ไซอิ๋ว" ที่วางไว้บนหมอนมาพลิกอ่าน เมื่อได้อ่านไปพลาง ก็จะหัวเราะไปพลางอย่างมีความสุข

ไม่รอให้โม่ฮั่นอี่ว์ได้พูดอะไร โม่จงหรานก็ชี้ไปที่ภาพประกอบภาพหนึ่ง แล้วเงยหน้าหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ "ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ....."

เสียงนั้นแหบแห้งเหมือนเป็ดแก่ ๆ ตัวหนึ่งที่พยายามส่งเสียงร้องก็ไม่ปาน

โม่เยว่เงยหน้าขึ้นจากกองฎีกา: "....."

โม่ฮั่นอี่ว์: "....."

กลับกัน ซูปิ่งซ่านคุ้นเคยกับท่าทางแบบนี้มานานแล้ว เขาจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเสียงหัวเราะของโม่จงหราน

โม่จงหรานหัวเราะอย่างหนักจนน้ำตาไหล จากนั้นค่อยปิดหนังสือลง แล้วถามโม่ฮั่นอี่ว์ว่า "จริงสิ เจ้ารอง เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่ามีเรื่องอะไรจะปรึกษาข้ารึ?"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อนงค์ใจพระชายาราชสีห์