เมื่อพบว่าโม่จงหรานยื่นมือมาทางนาง หยุนหว่านหนิงก็ชะงักลงเล็กน้อย “ลูกหรือเพคะ?”
นางชี้นิ้วไปที่ตนเองพร้อมใบหน้าอันสับสน “เสด็จพ่อมองให้ชัดเจนนะเพคะ ลูกคือหยุนหว่านหนิง”
ชายชราคนนี้เป็นอะไรไปกัน หรือเขาจะทำงานหนักเกินไปทำให้ตามืดมัว?
“ข้าเอ่ยถามเจ้านั่นแหละ”
โม่จงหรานยืนกรานว่า “เจ้ามิได้เป็นคนของวังหลัง แน่นอนว่าเจ้ามีสิทธิ์จะตอบคำถามข้า และบัดนี้ก็มินับว่าเป็นเรื่องในทางราชการ พวกเราครอบครัวเดียวกันเพียงแค่ปิดประตูสนทนากันเท่านั้น”
ครอบครัวเดียวกัน......สนทนา......
หยุนหว่านหนิงรู้สึกว่าลำคอของนางดูแห้งกร้านเล็กน้อยจึงกระแอมออกมาเบาๆ
“เสด็จพ่อมองลูกสูงไปแล้วเพคะ เรื่องนี้ใหญ่นักหนา ลูกเป็นเพียงสตรีที่อยู่ในเรือนหลัง มิค่อยรู้เรื่องได้ภายนอกนัก จะไปทราบได้อย่างไรเพคะ”
นางยิ้มขึ้น
เต๋อเฟยมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา แต่นางก็พยักหน้าเป็นการเห็นด้วย
โม่จงหรานหัวเราะขึ้น
รอยยิ้มนั้นเมื่อมองในสายตาของหยุนหว่านหนิงดูน่าขนลุกและเยือกเย็นเล็กน้อย
“เจ้าคงคิดว่าข้าแก่แล้วสายตาคงจะฝ้าฟางเลอะเลือนใช่หรือไม่?”
โม่จงหรานเลิกคิ้วขึ้น “คิดว่าข้ามิรู้จริงหรือ เบื้องหลังของเยว่เอ๋อร์มีเจ้าคอยวางแผนการไว้ให้ ทำไมเล่า? ธุระของเยว่เอ๋อร์เรียกว่าธุระ แต่ธุระของข้านั้นมิใช่หรือ?”
หยุนหว่านหนิง “......”
เรื่องที่นางวางแผนการให้แก่โม่เยว่ โม่จงหรานก็รู้ด้วยหรือ?
จะต้องเป็นเจ้าโม่หุยเฟิง สุนัขอิจฉาตาร้อนตัวนั้นเป็นคนฟ้องแน่!
นางหดคอแล้วกล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “เสด็จพ่อเพคะ ลูกโง่เขลานัก มิอาจช่วยคลายความกังวลให้แก่ท่านได้”
“เสด็จพ่อ จะเชิญท่านอ๋องของเราเข้าวังดีหรือไม่?”
ดูเข้าสิ นางเป็นภรรยาที่สุดยอดยิ่ง!
นี่มันเวลาใดแล้ว นางยังคงพยายามหาโอกาสให้แก่สามีของตน......โม่เยว่หนอโม่เยว่ จากนี้ไปเจ้าจะต้องรำลึกถึงบนคุณของข้าไว้ให้มาก
“ข้าแค่อยากฟังจากปากเจ้า”
โม่จงหรานมิยอมปล่อยมือ
“เสด็จพ่อเพคะ ให้ลูกตรวจดูอาการของเสด็จพ่อต่อเถอะ ลูกสั่งยาให้สักหน่อยเป็นไร”
หยุนหว่านหนิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ข้าต้องการสนทนากับเจ้าของถึงเรื่องการรุกรานจากซีจวิ้น”
การเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่มิเป็นผลสำเร็จ
นางจึงนั่งลงข้างกายด้วยความจำนน “เสด็จพ่อเพคะ ร่างกายของเสด็จพ่อเป็นเพราะการทำงานหนักเกินไปจึงเป็นเช่นนี้ จากความคิดของลูกนั้น ลูกว่า......”
“ลูกมองว่าเสด็จพ่อมีโอรสมากมาย ทุกคนเก่งกาจจนสามารถดูแลตนเองได้ เสด็จพ่อยังมีเรื่องใดต้องกังวลอีกเล่า?”
ประโยคนี้ นางช่างใจกล้าหาญเหลือเกิน
หากว่าเป็นคนอื่นกล่าวออกมาเช่นนี้ โม่จงหรานคงคิดว่าพวกเขาตั้งใจจะเกลี้ยกล่อมให้ตนยกอำนาจให้อย่างแน่นอน
แต่คนคนนี้คือหยุนหว่านหนิง
นางมิได้มีเล่ห์เหลี่ยมมากมายนัก
โม่จงหรานเองก็มิรู้ว่าเหตุใดเขาจึงเชื่อมั่นนัก แต่เมื่อมองหน้าของหยุนหว่านหนิง เขาก็เชื่อคำพูดของนางจากก้นบึ้งหัวใจ
แม้แต่เต๋อเฟยเองในบัดนี้ก็หันไปมองหยุนหว่านหนิงด้วยความกังวล “ฮ่องเต้เพคะ แม่นางผู้นี้กล่าววาจาไปเรื่อย ขอทรงอย่าได้......”
“มิต้องกังวลใจไปหรอก”
โม่จงหรานยกมือขึ้นหยุดบทสนทนาของเต๋อเฟย แล้วหันไปถามหยุนหว่านหนิงอีกว่า “จากที่เจ้าดู ใครกันเล่าที่เหมาะสมจะเป็นผู้นำทัพไปต่อต้านซีจวิ้นในครั้งนี้?”
หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เมื่อครู่นางกล่าวไปลอยๆ เพียงเพื่อกลบเกลื่อน ให้โม่จงหรานมิใส่ใจ
คิดมิถึงว่าเขาจะยังคงเอ่ยถามนางจนถึงที่สุด
นางมิมีทางเลือกอื่นนอกจากคิดอย่างรอบคอบแล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อเพคะ ลูกคิดว่าในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย แม้ว่าจะมีอายุยี่สิบปีแล้ว แต่ก็ยังมิเคยมีใครเคยออกรบและมีประสบการณ์จริงมาก่อน”
“แต่ท่านเเม่ทัพโจวเป็นผู้ที่เคยผ่านสนามรบมาก่อน”
นางเอ่ยแนะนำโจวเวยบิดาของโจวหยิงหยิง
“เเม่ทัพโจวมีประสบการณ์อย่างมากในการรบ และมีความรู้ต่างๆ เป็นการดีหากจะให้เขาเป็นแม่ทัพในการต่อสู้กับซีจวิ้นในครั้งนี้”
โม่จงหรานพยักหน้าเป็นการเห็นด้วย
สายตาของเขาดูลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ “แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรส่งองค์ชายคนใดไปที่ชายแดนจึงจะเหมาะสม?”
แววตาของเต๋อเฟยมองไปทางหยุนหว่านหนิงด้วยความเป็นกังวล
นางหวังว่าโม่เยว่จะได้ไปฝึกฝนประสบการณ์
ดูเหมือนจะประเมินแม่นางผู้นี้ต่ำไปเสียแล้ว
เดิมทีนางคิดว่าประโยคเมื่อครู่นี้จะทำให้ฮ่องเต้พิโรธ......แต่เมื่อเห็นท่าทีและรอยยิ้มอันจริงใจของโม่จงหราน จึงทำให้นางรู้สึกว่าต้องมองหยุนหว่านหนิงสูงขึ้นอีกหน่อย
เมื่อเป็นเช่นนี้เยว่เอ๋อร์ก็จะมิสูญเสียเรื่องดีๆ ไป
“เป็นการดียิ่งนักที่มีแผนการเช่นนี้ แต่ข้าหวังว่าความฉลาดของเจ้าจะนำมาใช้ในทางที่ถูกต้อง”
โม่จงหรานเหลือบมองไปยังนางด้วยความลึกซึ้งแล้วกล่าวอย่างมีความหมาย
นางฟังออกถึงความหมายซับซ้อนของเขา จึงรีบคุกเข่าลงกล่าวว่า “ลูกเป็นเพียงแค่สตรีที่คอยดูแลเรือนหลัง และเพียงต้องการดูแลปรนนิบัติรับใช้สามีกับบุตร กตัญญูกตเวทีต่อ บิดามารดาของสวรรค์มีเท่านั้นเพคะ”
“อืม จงว่ามาเถิด ลุกขึ้นก่อน”
โม่จงหรานกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อครู่ที่เจ้าว่านั้น ร่างกายข้าทำงานหนักเกินไปหรือ?”
“เพคะเสด็จพ่อ”
“จากนี้ไปเจ้าต้องช่วยบำรุงร่างกายข้าด้วย”
สีหน้าของโม่จงหรานดูสงบ “ตามที่เจ้าว่ามานั้น ข้ามีโอรสมากมาย บางเรื่องก็ควรที่จะวางมือลงแล้ว”
เต๋อเฟยมองดูเขาด้วยใบหน้าซับซ้อน
เมื่อพบว่านางมิได้เอาแต่ใจ มิได้ทำหน้าตกใจแตกตื่น กลับกำลังสั่งยาให้แก่โม่จงหราน
การทำงานหนักเกินไปจำเป็นต้องได้รับการดูแลร่างกายเป็นพิเศษ
ในแง่ของยานั้น ยังคงต้องใช้ยาร้อนเป็นยาชูกำลังในแพทย์แผนจีน
นอกจากนี้เรื่องการรับประทานอาหารเสริมก็จำเป็นนัก
หยุนหว่านหนิงมีความคิดหนึ่งอยู่ในใจ นางเล่าถึงความคิดของตนเองออกมา โม่จงหรานยกมือบ่ายเบี่ยง “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าจึงจะเป็นหมอ เรื่องเหล่านี้เจ้าสามารถตัดสินใจได้อย่าได้เอ่ยถามข้าเลย”
นี่นับว่าเป็นการไว้ใจหยุนหว่านหนิงอย่างสุดซึ้ง
เต๋อเฟยและโม่เฟยเฟยมองหน้ากันด้วยความตกใจ
ทัศนคติของนางที่มีต่อหยุนหว่านหนิงดูซับซ้อนขึ้นในทันที
ดูเหมือนเต๋อเฟยจะค่อนข้างอึดอัดใจ
นางมิอาจตัดสินใจได้ว่านับจากนี้ไปจะปฏิบัติกับสะใภ้ที่นางเกลียดชังได้อย่างไรกัน
ทันใดนั้นเอง หลี่หมัวมัวก็ตรงเข้ามากล่าวว่าอ๋องหมิงเดินทางมา
หยุนหว่านหนิงหันหลังกลับไปมองและพบโม่เยว่เดินตรงเข้ามาด้วยสีหน้าอันว่างเปล่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อนงค์ใจพระชายาราชสีห์
นิยายสนุก แต่ช่วยมาลงต่อให้จบได้ไหมคะ...
อัพใหม่เถอะค่ะ...
เมื่อไรจะอัพเพิ่มคะ ฮือ รอนานมากแล้วววว...
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 353 - 430 หายไปไหน หายยาววววมากกกก...
รอตอนต่อไปจ้า...
สนุกดีอ่านแล้วขำ 555...