อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ นิยาย บท 74

หยุนหว่านหนิงก็เดามิออกว่าโม่จงหรานคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ สถานการณ์บัดนี้นางเองก็มิมีเวลาไปคิดมาก

ดังนั้นนางจึงยื่นนิ้วมือออกไปและจับชีพจรให้แก่เขา

ชีพจรของเขาเต้นแรงตามปกติ ดูมิมีปัญหาใด......แต่เมื่อครูโม่จงหรานกล่าวว่าช่วงนี้เขารู้สึกมิสบายเล็กน้อย หยุนหว่านหนิงจึงเอ่ยถามขึ้น “มิทราบว่าเสด็จพ่อรู้สึกมิสบายอย่างไรหรือเพคะ?”

ระหว่างที่นางกล่าวนางก็ได้ให้โม่จงหรานเปลี่ยนข้อมืออีกข้างหนึ่งมาดู

“ช่วงนี้ข้ารู้สึกกระสับกระส่าย และนอนมิหลับในตอนกลางคืน”

รอยยิ้มบนใบหน้าของโม่จงหรานค่อยๆ จางหายไป สีหน้าของเขาดูจริงจัง “ข้ารู้สึกเบื่ออาหาร และหายใจมิค่อยออกนัก”

อีกสองวันก็เป็นวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว

จะมีงานเลี้ยงพระราชวังในอีกมิช้า

หากว่าพระวรกายของโม่จงหรานย่ำแย่หรือป่วยขึ้นมาเกรงว่างานเลี้ยงพระราชวังจะต้องถูกยกเลิก

อีกอย่างหากมีอาการเจ็บป่วยส่งท้ายปีเช่นนี้......มิใช่สัญญาณที่ดีนัก

อย่างน้อยโม่จงหรานผู้เชื่อในเรื่องเทพเจ้า เขาคิดว่าครั้งนี้มิใช่สัญญาณที่ดี แต่หมอหลวงหลายคนก็ได้ทำการตรวจอาการแล้ว พบว่ามิมีปัญหาใด

โม่จงหรานเกิดความสงสัยในใจ

ดังนั้นจึงได้มาหาหยุนหว่านหนิงให้นางตรวจดู

เมื่อได้ยินเขากล่าวดังนั้น หยุนหว่านหนิงก็พยักหน้าแล้วใช้ความคิดอย่างหนัก

นางเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของโม่จงหราน ดูมิผิดไปจากปกติ

แต่ว่าแววตาคู่นั้น......

มิปกติเท่าไหร่นัก

เมื่อนางพิจารณามองดูอย่างละเอียดอีกหน เห็นว่าแววตาของโม่จงหรานมิค่อยมีประกาย ทั้งยังเต็มไปด้วยรอยคล้ำใต้ตา เป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าเขานอนหลับมิสนิทนัก

ในปีนี้โม่จงหรานอายุยังมิถึงห้าสิบปีด้วยซ้ำ

เขามิน่าจะมีปัญหาเนื่องจากเข้าวัยชรา

“เสด็จพ่อมีอาการปวดพระเศียรบ้างหรือไม่เพคะ?”

“มี”

โม่จงหรานตอบรับอย่างเคร่งขรึม “บางครั้งก็ปวดหัว จึงทำให้ตอนตกดึกหลับยาก ส่งผลให้ปวดมากกว่าเดิม”

“บางครั้งเมื่อผล็อยหลับไปแล้วก็ตื่นขึ้นพร้อมกับอาการปวดศีรษะ”

หยุนหว่านหนิงครุ่นคิดแล้วพึมพำ ก่อนจะถามว่า “เสด็จพ่อฝันร้ายบ้างหรือไม่เพคะ?”

เมื่อพบว่านางมีสัญญาณจะรู้อาการของเขา โม่จงหรานจึงเหลือบมองนางอีกครั้งแล้วตอบตามความจริงว่า “มี บางครั้งก็ฝันร้ายบางครั้งก็ฝันติดต่อกันเป็นระยะๆ”

“ในฝันนั้นเสด็จพ่อทำอะไร ตื่นมามีอาการเหนื่อยหรือไม่เพคะ?”

หยุนหว่านหนิงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

“เอ่อ......”

โม่จงหรานครุ่นคิดอย่างรอบคอบ “ในฝันนั้นบางทีข้าก็วิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง บางทีก็ฝันว่ากระโดดลงมาจากหอคอย บางทีก็ถูกสัตว์ดุร้ายไล่ล่า”

ขณะที่เขากล่าวก็ยื่นมือออกมาบีบไปที่หัวคิ้ว

ความเหนื่อยล้าบนใบหน้าปรากฏขึ้นอีกครั้งพร้อมกับท่าทางที่ดูทรุดโทรม “หลังจากที่ตื่นมาแล้วร่างกายก็ปวดล้าไปทั้งตัวและอ่อนแรงเหลือเกิน”

เมื่อเทียบกับท่าทางอันสดใสเมื่อครู่ บัดนี้เขาดูเหนื่อยมากขึ้นจริงๆ

นี่คือสภาพของเขาในช่วงนี้สินะ

เมื่อเต๋อเฟยเห็นดังนั้นก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก นางรีบก้าวเข้าไปนวดขมับของโม่จงหรานทันใด

นางหันไปมองหยุนหว่านหนิงแล้วกล่าวขึ้นว่า “ช่วงนี้ฮ่องเต้ได้เสด็จมาบรรทม ณ ตำหนักหย่งโซ่วสองหน แต่ละครั้งมีอาการนอนมิหลับ และฝันร้ายหลายหน”

“ฮ่องเต้ทรงเป็นอะไรเจ้ารู้หรือไม่?”

“ลูกจึงจะเป็นหมอ ตอนที่กำลังวินิจฉัยผู้อื่นอย่าได้เอ่ยปาก”

หยุนหว่านหนิงต่อว่าเต๋อเฟยออกมาโดยตรง

คนอื่นรวมไปถึงเต๋อเฟยโมโหขุ่นเคืองทันใด “หยุนหว่านหนิง เจ้ารนหาที่ตายอยู่หรือ!”

“ข้าไปทำอะไรเจ้า?”

ขณะที่กล่าวนางก็ยื่นมือออกไปจะคว้าหยุนหว่านหนิงเข้ามาตบ

“โอ๊ย หากจะเอ่ยก็เอ่ยดีๆ อย่าได้ลงไม้ลงมือ!”

หยุนหว่านหนิงรีบหลบทันใดแล้วไปซ่อนกายอยู่ด้านหลังโม่จงหราน “เสด็จพ่อดูสิเพคะ นี่มันเหตุผลอะไรกัน คนผู้นี้ถือว่าตนเป็นแม่สวามีของข้าแล้วจะรังแกข้าอย่างไรก็ได้”

เต๋อเฟย “......สักวันข้าจะตบปากเจ้าให้ฉีก!”

“เสด็จพ่อดูสิเพคะ กำลังข่มขู่ลูกอยู่”

เนื่องจากพื้นที่ในซีจวิ้นค่อนข้างจะน้อยและแห้งแล้ง ด้วยเหตุนี้เองพวกเขามีความจำเป็นจะต้องรุกรานครอบครองดินแดนของประเทศอื่นมิหยุดหย่อน

ผู้คนในซีจวิ้นมีความกล้าหาญ พวกเขาชอบทำสงคราม แต่ก็มิกล้าจะไปยั่วยุตงจวิ้น อีกอย่างพวกเขาอยู่ห่างจากเป่ยจวิ้นมาก ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงมักจะมุ่งความสนใจไปที่หนานจวิ้น

ในช่วงหลายปีมานี้ซีจวิ้นกับหนานจวิ้นมักมิลงรอยกัน

“หากเป็นก่อนหน้านี้พวกเขาต้องการจะเปิดศึกก็เปิดศึกเถิด ข้าจะมิมีวันถอยอย่างแน่นอน!”

โม่จงหรานใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ “แต่เมื่อเร็วๆ นี้เนื่องจากมีภัยพิบัติทางหิมะ ราชสำนักจึงได้จัดสรรเงินบรรเทาทุกข์เกือบหนึ่งล้านตำลึงออกไปช่วยเหลือชาวบ้าน ทำให้คลังหลวงว่างเปล่า!”

“หากว่าเกิดสงครามขึ้นในเวลานี้ ก็อยากที่จะรับประกันว่าทหารและม้าของเราจะมีอาหารเพียงพอ”

ประโยคนี้มิใช่ว่าโม่จงหรานจะกล่าวไปอย่างส่งเดช

ก่อนหน้านี้ตอนที่เขายังหนุ่ม มักจะนำทัพออกไปรบด้วยตนเอง

เพียงแต่บัดนี้เขาแก่แล้วและมิอาจทำได้ดังนั้น

“ไอ้พวกเจ้าเล่ห์แห่งซีจวิ้นเหล่านั้นเข้ามาก่อกวนเมืองชายแดนหลายเมืองของเราติดต่อกัน หากข้าส่งทหารออกไปก็มิอาจส่งไปได้หมดในครั้งเดียว มันมีมากมายนับมิถ้วน!”

เขาส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดแล้วถอนหายใจออกมา

เต๋อเฟย หยุนหว่านหนิงและโม่เฟยเฟยต่างมองดูเขาอย่างเงียบๆ โดยมิได้เอ่ยปาก

พวกนางรู้ดีว่าผู้ที่อยู่ในวังหลังทุกคนมิได้รับอนุญาตให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง

เต๋อเฟยเป็นสนมรักคนโปรด นางเป็นแบบอย่างและควรกระทำการทุกอย่างด้วยความระมัดระวังดุจดั่งเดินบนเส้นทางแห่งน้ำแข็ง

มิฉะนั้นฮองเฮาจ้าวคงจะตำหนินางอย่างแน่นอน

เมื่อถึงเวลานั้น สนมรักคนโปรดอาจจะเป็นสนมรักผู้ถูกเนรเทศ

ที่ข้างกายของนางยังมีเยว่เอ๋อร์กับเฟยเฟย นางจะเป็นอะไรไปมิได้เด็ดขาด......

โม่จงหรานเงยหน้ามองดูทั้งสามคนแล้วขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น “เมื่อครู่ข้าสนทนากับพวกเจ้าแต่มิมีใครตอบข้าเลยอย่างงั้นหรือ?”

“ทุกคนเป็นใบ้หรืออย่างไร?”

เต๋อเฟยยิ้มขึ้น “ฮ่องเต้เพคะ ผู้คนในวังหลังมิอาจยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้”

“ข้ารู้ว่าวังหลังมิอาจยุ่งเกี่ยวกับการเมือง”

โม่จงหรานหาวขึ้นในทันใดแล้วยื่นมือออกมาชี้ไปทางหยุนหว่านหนิงว่า “ข้าถามถึงเจ้า”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อนงค์ใจพระชายาราชสีห์