พ่ายรักเมียในนาม(จบ) นิยาย บท 111

เมื่อซื้อกุ้งและปูเสร็จแล้ว ฉันก็เตรียมจะเดินไปซื้อเนื้อติดมันอีกสักเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งมาขวางหน้าฉันไว้

“เซียวเซิง”

ฉันตกใจ และเงยหน้าขึ้นไปมองชายร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน

สีจิ่นยวน ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่?

“สีจิ่นยวน? ”

“อ่า เซียวเซิง บังเอิญจังครับ” เขามองดูวัตถุดิบที่อยู่ในรถเข็นของพวกเรา “นี่จะทำปิ้งย่างกันสินะครับ”

“อ่า ซื้อไปทำหม้อไฟกินกับเพื่อนน่ะ”

สีจิ่นยวนยื่นมือออกไปหาหนีอีโจวด้วยรอยยิ้ม “ผมชื่อสีจิ่นยวน อาศัยอยู่กับเซียวเซิงครับ”

“ให้มันน้อยๆ หน่อยคุณ” ฉันอธิบายกับหนีอีโจว “เขาเป็นน้องชายของสีชิงชวน”

หนีอีโจวก็ยื่นมือออกไปจับมือเขาเช่นกัน “สวัสดีครับ ผมชื่อหนีอีโจวครับ”

หลังจากนั้นสีจิ่นยวนก็ตามพวกเราตลอดเวลา “พวกคุณจะไปกินหม้อไฟที่ไหนกัน? ”

“บ้านเพื่อน”

“เพื่อนที่ว่านี่คือลูกพี่หนีใช่ไหม? ”

เขาปากหวานมาก จู่ๆ ก็จำลูกพี่ได้

ฉันแสร้งยิ้มให้เขา และหวังว่าเขาจะรีบแยกออกไปและเลิกเกาะติดพวกเราเหมือนน้ำตาลที่เหนียวและนิ่มสักที

เฉียวอี้ที่ซื้อเครื่องปรุงรสเสร็จแล้วเดินกลับมาเห็นสีจิ่นยวน “โอ้ เจ้าเด็กขี้แพ้นี่”

พวกเขาสองคนเคยเล่นบาสด้วยกันครั้งหนึ่ง สีจิ่นยวนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เขาบอกว่าเฉียวอี้ทำผิดกติกา ทั้งสองคนทะเลาะกันที่สนามบาสในสวนดอกไม้ของตระกูสีอยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมง

ฉันปิดปากของเฉียวอี้เอาไว้ “เอาล่ะ ยังมีของที่ยังไม่ได้ซื้ออยู่อีก รีบไปซื้อกันเถอะ! ”

สีจิ่นยวนเดินตามมาติดๆ “เซียวเซิง ผมไปกินข้าวกับคุณด้วยได้ไหม? ”

หลังจากนั้นเขาก็หันไปประจบหนีอีโจวอีกครั้ง “ได้ไหมครับลูกพี่หนี? ”

เขาเอ่ยขออย่างหน้าไม่อายและตรงไปตรงมา แล้วหนีอีโจวจะไปปฏิเสธได้อย่างไร เขาได้แต่พยักหน้ารับ “คุณชอบกินอะไร พวกเราซื้อเพิ่มอีกสักหน่อยละกัน”

“โอ้เย่” สีจิ่นยวนโห่ร้องดีใจเหมือนเด็กๆ ฉันลากเขาไปอีกทาง “คุณจะไปก็ได้ แต่ห้ามบอกพี่สามของคุณเด็ดขาดว่าพวกเราไปด้วยกัน”

“ทำไมล่ะ? ” ท่าทางของเขาดูไร้เดียงสามาก

“เพราะว่า” ฉันจะพูดยังไงดี ฉันคงบอกกับเขาไม่ได้หรอกว่าฉันโกหกพี่สามของเขามาจริงไหม?

“สรุปก็คือคุณห้ามบอก ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องไปกับพวกเรา”

“เข้าใจแล้ว”

พวกเราซื้ออาหารจำนวนมาก ทำให้กระโปรงท้ายรถของหนีอีโจวเต็มไปด้วยของมากมาย เฉียวอี้ซื้อเบียร์มาหลายกระป๋องมาก เธอบอกว่ากินหม้อไฟไม่ดื่มเบียร์เท่ากับเป็นการปู้ยี่ปู้ยำสิ่งของตามอำเภอใจ ดังนั้นพวกเราจึงไม่ได้ขับรถมา

ทันทีที่หนีอีโจวเปิดประตู ก้อนหิมะสีขาวก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งก็กลิ้งออกมาจากบ้านของเขา

เป็นเจ้ามาร์ชเมลโล่ ไม่ได้เจอมันมาอาทิตย์กว่าๆ มันโตขึ้นและอ้วนมาก

มันยังจำฉันได้ และตื่นเต้นเกินไปจนเกือบจะชนฉันล้ม

ฉันลูบหัวของเจ้ามาร์ชเมลโล่ และรู้สึกว่ารูปร่างของมันผิดปกติ “ทำไมมันตัวโตขึ้นขนาดนี้ล่ะ? ”

หนีอีโจวยกของเดินเข้าประตูไป “มันยังเป็นลูกหมาตัวน้อยอยู่เลย อีกหน่อยมันจะโตขึ้นกว่านี้อีก”

“อะไรนะ? โตขนาดไหนเหรอ? ”

“หมาพันธุ์โอลด์ อิงลิช ชีพด็อกเมื่อโตเต็มที่จะตัวใหญ่มาก นู่น น่าจะโตเท่าครึ่งหนึ่งของโซฟาบ้านผมได้! ” หนีอีโจวชี้ไปที่โซฟาของเขา โซฟาตัวใหญ่มาก ครึ่งหนึ่งมันน่าตกใจมากเลยนะ

ไม่สิ ก่อนหน้านี้ตอนที่สีจิ่นยวนขอร้องให้ฉันเก็บเจ้ามาร์ชเมลโล่เอาไว้ เขาบอกว่าโอลด์ อิงลิช ชีพด็อกตัวไม่ใหญ่

ฉันหันกลับไปมองสีจิ่นยวนที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงเจ้ามาร์ชเมลโล่อยู่บนพื้น “คุณบอกว่าโอลด์ อิงลิช ชีพด็อกตัวไม่ใหญ่ไม่ใช่เหรอ? ”

“ผมไม่นึกว่าคุณจะไม่มีความรู้ทั่วไปขนาดนี้ หลอกง่ายมาก” สีจิ่นยวนอุ้มสุนัขขึ้นจากนั้นก็เดินจากไป

ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าเขาไร้เดียงสา นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะร้ายเหมือนพี่สามของเขาขนาดนี้

ฉันส่ายหน้า วันนี้ฉันมีความสุขมาก เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดถึงสีชิงชวนเลย จะทำให้ไม่สบายใจเสียเปล่าๆ

ฉันกับหนีอีโจวไปล้างผักและคัดผักที่เสียออก ส่วนเฉียวอี้ก็ไปเล่นสุนัขกับสีจิ่นยวน ทั้งสองคนเล่นด้วยกันอยู่แต่ก็ยังไม่วายทะเลาะกันไม่หยุด

เฉียวอี้อายุเท่าฉัน ปีนี้อายุยี่สิบสามปีแล้ว สีจิ่นยวนเด็กว่าเธอสามปี เธอก็ยังจะมีหน้าไปทะเลาะกับเด็กนะ

“ทำไมคุณถึงได้ไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตคนเดียว? ”

“ผมเหงามาก” เขาวางมาดขรึมระบายความทุกข์กับฉัน “ตอนนี้คุณยุ่งมาก และยังมาแย่งเจ้ามาร์ชเมลโล่ของผมไปอีก”

“นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่ฉันได้ยินว่าเด็กหนุ่มอายุยี่สิบปีรู้สึกเบื่อก็เลยไปเดินเล่นที่ซูเปอร์มาร์เก็ต”

“โลกใบนี้กว้างใหญ่นัก เป็นธรรมดาที่จะมีของแปลกๆ ใหม่ๆ ”

โอเค แล้วแต่เขาเลย

ผ่านไปสักพัก ปูผัดผงกะหรี่ก็ถูกยกขึ้นโต๊ะ เครื่องเทศปรุงรสของหม้อไฟก็ผัดเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เติมน้ำลงไปในหม้อเคลือบและยกมาเสิร์ฟ พริกแห้งเม็ดใหญ่สีแดงที่ลอยอยู่ผิวของน้ำแกงดูยั่วน้ำลายมากจริงๆ

สีจิ่นยวนช่วยหยิบชามและตะเกียบ วิ่งเสียงดังตึงตัง

เฉียวอี้มองเขาอย่างกังวล “ดูก็รู้แล้วว่ากินเก่ง ไม่รู้ว่าจะกินจนพวกเราหมดตัวเลยไหม ต้องไปซื้อของมาเพิ่มอีกหน่อยไหม”

“พอแล้ว นี่ก็เยอะมากแล้วนะ”

เฉียวอี้ส่งเบียร์ให้ทุกคนหนึ่งกระป๋อง ตอนที่เธอยื่นให้สีจิ่นยวนฉันก็ลังเลเล็กน้อย “เด็กน้อยดื่มเหล้าได้ไหม? ”

“เขาบรรลุนิติภาวะแล้วนะ อายุยี่สิบแล้ว อีกอย่างนะเซียวเซิง อย่าดูถูกเด็กในตอนนี้เด็ดขาด อย่าว่าแต่ดื่มเหล้าเลย แม้แต่คืนแรกเขาก็อาจจะเสียไปแล้วก็ได้ เสียคืนแรกไปตั้งแต่อายุสิบกว่าๆ ไหนบอกพี่สาวหน่อยสิ? ” เฉียวอี้เท้าไหล่ของเขาด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเหมือนนักเลงหญิง

“แน่นอนว่าผมยังบริสุทธิ์ ผมอยากเก็บไว้ให้คนที่ผมรักที่สุด”

“เชอะ” เฉียวอี้กระดกเบียร์เข้าปาก “กินเถอะๆ ถือเป็นวันดีๆ วันหนึ่ง ถ้าไม่มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญละก็นะ”

เบียร์ทั้งสี่กระป๋องถูกยกขึ้นชนกัน มีเบียร์บางส่วนกระเด็นออกมาและหยดลงไปในหม้อไฟ

หม้อไฟที่เติมเบียร์ลงไปจะอร่อยยิ่งกว่าเดิม หม้อไฟก็เป็นอาหารที่เข้ากับอะไรก็ได้แบบนี้นี่แหละ อะไรที่กินได้ก็สามารถเอามาลวกจิ้มได้หมด ถ้าอยากแปลกใหม่กว่านี้ละก็ จะใส่ไอศกรีมลงไปก็ได้

เครื่องเทศปรุงรสที่เฉียวอี้ผัด เข้าคู่กับวัตถุดิบสดใหม่ที่พวกเราเพิ่งซื้อมา บอกเลยว่าอร่อยจนแม้แต่ลิ้นก็บินได้

กุ้งเนื้อเด้งสู้ฟัน เนื้อติดมันนุ่มๆ เนื้อแกะสไลด์ติดมันนุ่มๆ ถึงอย่างไรก็อร่อยไปหมดทุกอย่าง

สีจิ่นยวนเงียบมาก ตะเกียบของเขาลอยอยู่เหนือหม้อไฟ มือซ้ายถือปูผัดผงกะหรี่ขึ้นมาแทะ มือขวาใช้ตะเกียบงมอยู่ในหม้อไฟอย่างเต็มที่ มือไม่ว่างเลยจริงๆ

เฉียวอี้เองก็กินเร็วมากเช่นกัน อาหารสลายหายไปเหมือนพายุหอบเอาเศษปุยเมฆไป ทั้งสองคนเหมือนกำลังแข่งขันกัน จนฉันกลัวว่าเฉียวอี้จะสำลักเอาได้

ยังดีที่เตรียมวัตถุดิบไว้เยอะ เดิมทีฉันคิดว่าถ้าทานไม่หมดก็ให้เก็บไว้ในตู้เย็นของหนีอีโจว ไว้ค่อยเอาออกมาทำอาหารในวันอื่นได้ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้แค่คืนเดียวก็น่าจะทานหมดแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)