ฉันส่ายหน้าออกมาโดยอัตโนมัติ “ไม่ เป็นไปไม่ได้”
“อะไรเป็นไปไม่ได้? เธอนี่โง่จริงๆ ตั้งแต่เล็กจนโต แม่เลี้ยงเธอทำกับเธอขนาดนั้น มีแต่เธอเท่านั้นแหละที่คิดว่าเขาเป็นคนดีน่ะ”
“ฉันไม่ได้บอกว่าเขาเป็นคนดี แต่…” พอเห็นทุกอย่างในบ้านเก่าของฉันเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ฉันก็รู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น และมันก็รู้สึกไร้คำพูดไปโดยปริยาย
“ลองคิดดูก็รู้แล้วว่าต้องเป็นฝีมือเธอแน่ ไม่งั้นใครมันจะทำลายร่องรอยของการใช้ชีวิตที่นี่จนไม่มีชิ้นดีแบบนี้ เธอหาร่องรอยของการใช้ชีวิตที่เธอเคยใช้ชีวิตกับคุณแม่ได้ไหม?”
ฉันชะงักไปครู่หนึ่งแล้ววิ่งขึ้นไปยังชั้นบน ด้านบนมีทั้งหมดสามห้อง ประตูของทุกห้องถูกเปิดออกหมด แต่ฉันเข้าไปด้านในไม่ได้ เสื้อผ้าของคุณแม่ถูกเก็บไว้ที่นี่ แต่มันกลับถูกรื้อออกมานอกตู้เสื้อผ้าและตัดเป็นชิ้นๆ แล้วทิ้งไว้อย่างสะเปะสะปะ
ฉันค่อยๆ คุกเข่าลงและกอดเสื้อโค้ตตัวหนึ่งของคุณแม่ไว้ จำได้ว่าตัวนี้เป็นตัวที่คุณพ่อซื้อให้คุณแม่ มันมีราคาแพง คุณแม่บอกว่ามันแพงเกินไป เวลาปกติจึงไม่ค่อยได้ใส่ คุณพ่อจึงพาคุณแม่ไปดูละครเพลงเพื่อให้ท่านได้มีโอกาสใส่มัน
หลังจากที่คุณแม่จากไป ฉันจึงนำเสื้อผ้าของท่านทั้งหมดใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้า มันทำให้ฉันรู้สึกว่าท่านไม่ได้ไปไหน แค่ออกไปข้างนอกก็เท่านั้น ฉันไม่อยากลบล้างร่องรอยของท่านไปจนหมด
ฉันเปลี่ยนจากความดีอกดีใจเมื่อคืนเป็นความสิ้นหวังในทันที ฉันไม่แน่ใจว่ามันเป็นฝีมือของคุณน้าอย่างที่เฉียวอี้ว่าไว้หรือเปล่า แต่ก็คงไม่ใช่โจรธรรมดาๆ แน่นอน
ที่นี่ไม่มีของมีค่าอะไร คุณพ่อเอาเครื่องประดับของคุณแม่มาให้ฉันหมดแล้ว ของอย่างเดียวที่มีก็คือเสื้อผ้าและกระเป๋าพวกนี้ ถ้าเป็นโจรจริงๆ พวกเขาก็คงจะเอาไป ไม่ใช่ทำลายแบบนี้
ฉันคุกเข่าอยู่บนพื้นจนขาชาไปหมด เฉียวอี้ดึงตัวฉันขึ้น เธอร้องไห้ออกมาจนขี้มูกโป่ง
“แม่เจ้า รอให้ฉันหาหลักฐานได้เถอะ ฉันจะไม่ปล่อยเฉิ่งซินหลานไปแน่ คุณน้าเลวมาก หลังจากคุณอาจากไป คุณน้าก็ทำลายที่นี่ แล้วก็แสร้งจะยกบ้านนี้ให้เธอ ฉันว่ามันไม่มีเรื่องอะไรแบบนั้นที่ว่าหรอก!”
ฉันเอากระดาษทิชชูให้เธอ แต่ฉันกลับไม่ได้ร้องไห้ รู้สึกอึดอัดเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่หน้าอก จะร้องก็ร้องไม่ออก
ฉันกับเฉียวอี้นั่งอยู่บนขั้นบันไดในสวน ภาพวิวด้านนอกมันก็ไม่สวยเท่าเมื่อก่อนแล้ว มีตึกระฟ้าเพิ่มขึ้นเยอะแยะมากมายจนบางภาพท้องฟ้าไปหมด
เฉียวอี้พิงอยู่ที่ไหล่ของฉันและร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมกับด่าไปด้วยไม่หยุด “แม่เลี้ยงทุกคนในโลกนี้มันแย่!”
“อย่าเหมารวมสิ” ฉันแก้ให้เธอด้วยเสียงแหบแห้ง “อาจจะไม่ใช่คุณน้าก็ได้”
“เธอเป็นคนซื่อบื้อที่ดีเกินไปอะ เซียวเซิง เธอต้องรู้นะว่าทุกคนที่อยู่ตรงหน้าเธอ ความดีความชั่วของคนเรามันเปลี่ยนกันไม่ได้ เด็กอายุสามขวบเป็นยังไง โตมาอายุแปดสิบเขาก็เป็นอย่างงั้นแหละ เธอเข้าใจไหม? เธอคิดว่าจะเหมือนในละครของฉงเหยาที่ร้ายมาตั้งครึ่งเรื่องแล้ว จู่ๆ มีวันหนึ่งก็ตระหนักในความดีของนางเอกขึ้นมาได้ คิดเปลี่ยนแปลงตัวเองมาเป็นคนดีเหรอ? มีแค่ในนิยายเท่านั้นแหละที่จะมีแบบนั้น คนเลวยังไงมันก็เปลี่ยนมาเป็นคนดีไม่ได้หรอก แต่คนดีก็อาจจะทำผิดได้นะ”
ตอนเด็กๆ ฉันใช้ชีวิตมาอย่างทุกข์ยาก จะไม่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ได้ยังไง?
ฉันแค่ชอบจินตนาการให้คนรอบตัวฉันกลายเป็นคนดี จินตนาการว่าแม่เลี้ยงของซินเดอเรลล่าและสโนว์ไวท์เป็นคุณแม่นางฟ้าใจดี
เฮ้อ แม้แต่นิทานเด็กน้อยยังไม่ไร้เดียงสาแบบฉันเลย
“เซียวเซิง เดี๋ยวฉันหาคนมีจัดเก็บแล้วก็ทำความสะอาดที่บ้าน เธอยังจำได้ไหมว่าวางของตรงไหน ตกแต่งบ้านยังไง เรามาทำให้เป็นเหมือนเมื่อก่อนกัน”
ฉันหันไปมองเฉียวอี้ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจทันที “ฉันจำได้ ไว้ฉันวาดให้นะ”
“ได้ เธอวาดภาพการตกแต่งบ้านแบบเดิมมา เดี๋ยวฉันจะหาคนมาทำให้มันเป็นเหมือนเดิมเอง”
ฉันกับเฉียวอี้นั่งอยู่ที่ตึกเล็กๆ นี่จนหมดเวลาพักเที่ยง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรร้ายแรงแค่ไหน เฉียวอี้ก็มักจะจัดการตัวเองภายในเวลาอันรวดเร็วแล้วคิดวิธีแก้ปัญหาและวิธีรับมือได้เสมอ แต่ไหนแต่ไรมาเธอจะไม่เสียเวลามากมายไปกับการเสียใจ
ระหว่างทางที่ฉันกับเฉียวอี้เดินทางกลับเซียวซื่อกรุ๊ป เซียวซือก็โทรมาหาฉัน
ฉันรับโทรศัพท์ก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลของเซียวซือจากปลายสายพูดขึ้นกับฉัน “เซียวเซิง ตอนบ่ายฉันต้องไปคุยโครงการเกาะสุริยาที่บริษัทตงฟางกรุ๊ป แต่ฉันลืมเอกสารไว้ในห้องทำงาน ตอนนี้ฉันทานข้าวกลางวันกับเพื่อนอยู่ ฉันกลัวว่าจะกลับไปเอาไม่ทัน เธอช่วยไปเอาให้ฉันหน่อยได้ไหม ขอบคุณนะ”
“เธออย่าเอาไปให้ยัยนั่นนะ ถ้าจะเอาให้เดี๋ยวฉันเอาให้เอง”
เฉียวอี้หวังดีกับฉัน แต่นานทีเซียวซือจะขอให้ฉันช่วย ฉันจะทำอย่างไร้ความจริงใจไม่ได้
ฉันไม่ได้กลับไปที่ห้องทำงานของตัวเองแต่ตรงไปที่ห้องทำงานของเซียวซือแทน จากนั้นก็บอกกับเลขาของเธอว่าฉันมาเอาเอกสารให้เซียวซือ แต่เลขาของเธอไม่รู้ว่าเอกสารอยู่ตรงไหน เธอจึงให้ฉันหาเอง
ห้องทำงานของเซียวซือใหญ่กว่าห้องทำงานของฉันมาก พอห้องใหญ่หน้าต่างของห้องก็ใหญ่ตาม บนขอบหน้าต่างมีต้นไม้วางเรียงรายอยู่หลายต้น
โชคดีที่เฉียวอี้ไม่ได้ตามมาด้วย ไม่งั้นเธอจะต้องบ่นอีกแน่ว่าห้องเซียวซือใหญ่กว่าฉันหรืออะไรเทือกนั่น
ฉันหาบนโต๊ะทำงานเธอแต่ก็ไม่เจอเอกสารที่ว่า ทว่าฉันกลับเห็นรูปคู่ของเธอกับสีชิงชวนแทน
เหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ที่ต่างประเทศ ด้านหลังเป็นน้ำพุที่กำลังไหลอย่างสวยงามตระการตาจากผาสูงชัน มีละอองน้ำและน้ำหยดเล็กๆ มากมายฟุ้งกระจายอยู่เต็มอากาศ แม้แต่รูปถ่ายก็ถ่ายมันเอาไว้ได้ ทั้งสองคนยิ้มอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข บอกตามตรงว่าฉันไม่เคยเห็นสีชิงชวนยิ้มอย่างจริงใจและมีความสุขแบบนี้มาก่อน
ฉันมองภาพนั้นอย่างเหม่อลอย ไม่นานเลขาของเซียวซือก็เคาะประตูเข้ามาถามฉันว่าฉันหาเจอหรือยัง ฉันถึงได้สติและรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเซียวซือ เธอบอกว่าอยู่ในลิ้นชัก มันไม่ได้ล็อก ให้ฉันหยิบไปเองได้เลย
ฉันเปิดลิ้นชักออก ด้านในวางเอกสารไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ด้านบนสุดมีแฟ้มสีแดงก็คืออันนั้น
ฉันหยิบมันขึ้นมา แต่กลับพบว่าใต้แฟ้มสีแดงนั้นมีกล่องเหล็กอยู่กล่องหนึ่ง เธอใช้ปากกาเน้นข้อความเขียนคำภาษาอังกฤษไว้ด้านบนไว้หนึ่งคำ ซึ่งก็คือคำว่า ‘love’
ฉันว่าใครๆ ต่างก็มีความสงสัยด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะเรื่องราวความรักของเซียวซือ มันเป็นเรื่องที่ฉันอยากรู้มาโดยตลอด แต่ว่าการแอบดูของคนอื่นโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าตัวเป็นพฤติกรรมที่ไร้มารยาทมากๆ
ฉันออกแรงดันลิ้นชัก แต่ใครจะไปคิดว่าแผ่นรองลิ้นชักด้านล่างจะหล่นลงมา ทำให้ข้าวของในลิ้นชักร่วงกระจายลงเต็มพื้น รวมถึงกล่องเหล็กนั่นด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
สนุกมากเป็นอะไรที่ลุ้นตามตลอดถึงนางเอกจะดูโง่ๆแต่ก็สนุกมากครับชอบแนวนี้มากก...
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...