“สีชิงชวน สีชิงชวน” ฉันออกแรงตบหน้าเขาอย่างแรงทันที ในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นมองฉันอย่างอ่อนแรง “เป็นอะไร? ฉันคิดว่าคุณตายแล้วซะอีก”
“ถึงตาย ผมก็คงไม่ได้ป่วยตายหรอก แต่ถูกคุณตบตายมากกว่า” เขาห้อยหัวลงไปอย่างหมดแรง
“หมอบอกให้คุณดื่มน้ำเยอะๆ”
“ตอนนี้ผมให้น้ำเกลืออยู่” เขาพูดอย่างอ่อนแรง “ผมอยากเอาน้ำออก”
ฉันนิ่งไปครู่หนึ่งถึงจะฟังคำของเขาเข้าใจ “คุณจะเข้าห้องน้ำเหรอ?”
เขาใช้ข้อศอกค้ำเตียงอยู่นานแต่ก็ไม่ได้ขยับลุกขึ้น สายตามองไปยังมือที่กำลังให้น้ำเกลืออยู่และมองอยู่จนเลือดจะคั่งแล้ว
ฉันเข้าไปประคองเขา “ลุกไม่ขึ้นก็อย่าอวดเก่งสิ ฉันช่วยคุณได้นะ”
“เป็นเพราะคุณทั้งนั้น” เขาครางในลำคอเย็นๆ
ฉันยอมรับ มันเกี่ยวกับฉัน แต่ใครให้เขามากันเล่า?
ฉันประคองสีชิงชวน รูปร่างของเขาสูงใหญ่ เราจึงเดินไปด้วยความจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ ฉันคิดว่าถ้าเขาล้มลงมาที่ฉันเขาต้องทับฉันตายแน่ๆ
ฉันประคองเขาเดินไปที่ห้องน้ำด้วยความโซซัดโซเซ เขาหยุดลงแล้วมองมาที่ฉัน
“อะไร? คุณเข้าห้องน้ำไปสิ?”
“เราโดนใส่กุญแจมือเข้าด้วยกันเหรอ?”
“เปล่า”
“งั้นทำไมคุณยังไม่ออกไปอีก?” เขาพูดดุๆ
ฉันกลัวเขาไม่มีแรงจนล้มลงในนี้ เขาคิดว่าฉันจะมีรสนิยมแปลกๆ อย่างเช่นการดูเขาเข้าห้องน้ำหรือไง?
ฉันกำชับเขา “คุณยืนดีๆ นะ อย่าเอาหัวจุ่มลงไปในชักโครกซะล่ะ”
“หวังว่าคุณจะอวยพรให้ผมนะ” เขาถลึงตาใส่ฉัน ฉันจึงทำได้เพียงปล่อยมือที่ประคองแขนเขาแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ
“ปิดประตู” เขาทำตัวชั่วร้ายอยู่ด้านหลังฉัน
ทำอย่างกับใครเขาอยากจะฟังเสียงเขาทำธุระส่วนตัวอย่างนั้นแหละ
ฉันปิดประตูลงแล้วยืนรอเขาอยู่อีกฝั่ง ถ้าเขาล้มลงฉันก็ยังสามารถเข้าไปประคองเขาได้อย่างทันท่วงที
ไม่ว่าเจตนาที่เขามาหาฉันมันคืออะไร แต่ยังไงมันก็เพื่อตัวฉันอยู่ดี
สีชิงชวนไปเข้าห้องน้ำเสร็จก็กลับมานอนนิ่งๆ ฉันสัมผัสตัวเขาดูก็รู้สึกเหมือนว่าอุณหภูมิจะลดลงบ้างแล้ว
เขาไม่เป็นไรแล้วฉันก็สบายใจ ตอนนี้เที่ยงแล้ว ท้องฉันร้องโครกครากออกมาอย่างหิวโหยจึงถามเขา “คุณจะกินอะไร?”
เขาหลับตาลงแล้วตอบฉัน “ข้าวเอล์ม”
“กินข้าวเอล์มอะไรตอนนี้?” ฉันวิ่งไปดูต้นเอล์มที่หน้าต่าง บนต้นไม่มีเมล็ดเอล์มแล้ว มีแต่ที่หล่นอยู่บนพื้นข้างล่างที่ไม่ทันได้กวาดทิ้ง แต่มันเหลืองไม่ก็แก่จนกินไม่ได้ไปนานแล้ว
ฉันกลับมารายงานเขา “หมดฤดูของเมล็ดเอล์มแล้ว”
“ทำไมเร็วจัง?”
“ใช่ ช่วงเวลาที่เมล็ดเอล์มออกมันสั้นมาก พอฤดูฝนสั้นๆ ผ่านไปมันก็หมดแล้ว” จู่ๆ ฉันก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย “ถ้าอยากกินต้องรอปีหน้า”
ระหว่างฉันกับสีชิงชวนคงไม่มีปีหน้าด้วยกัน
หลังจากหนึ่งปี เราก็คงต้องต่างคนต่างไปแล้วล่ะ
“งั้นปีหน้าค่อยกิน แล้วหาวิธีเก็บมันไว้”
“คุณไม่ชอบกินข้าวเอล์มไม่ใช่เหรอ?”
เขาไม่สนใจฉันอีก ถึงไม่มีเมล็ดเอล์ม แต่ก็ยังต้องกินข้าวอยู่ดี
ฉันลงไปต้มโจ๊กชั้นล่าง แม้ว่าห้องครัวของสีชิงชวนไม่ใช้ทำอาหารบ่อยๆ แต่ก็มีของครบครันทุกอย่าง
แม้แต่ข้าวฉันก็เจออยู่หลายแพ็ค มีทั้งข้าวญี่ปุ่น ข้าวหอมไทย ข้าวไข่มุก ข้าวเหนียว
ใช้ข้าวอะไรต้มโจ๊กดีนะ?
ฉันครุ่นคิดแล้วหยิบข้าวแต่ละอย่างมาอย่างละกำมือ แล้วก็ต้มรวมเข้าด้วยกัน
ขณะที่ต้มโจ๊กฉันก็ทำผักดองเพิ่มความอร่อยและความสดชื่นไปด้วยสองอย่าง
ฉันเจอผ้าขี้ริ้ววัวอยู่ในตู้เย็นของเขาจึงนำมันมาหั่นเป็นเส้นเล็กๆ แล้วนำมาผัดรวมกับพริกหยวกจนได้เป็นผัดพริกหยวกผ้าขี้ริ้ววัว และยังใช้ผักสดอีกหลายชนิดมาทำยำผักรวมด้วย
ทันใดนั้นเขาก็สูดจมูกฟุดฟิด “คุณทำกับข้าวอะไรเหรอ?”
“หอมใช่ไหมล่ะ?” ฉันถามอย่างภูมิใจ “ฝีมือการทำอาหารฉันเหนือชั้นกว่าเมนูข้าวเอล์มง่ายๆ นั่นเยอะ”
“ก็ไม่ง่ายจริงๆ นั่นแหละ ไหม้ได้มีเอกลักษณ์ดี” เขายิ้มเย็นที่มุมปาก
“ไหม้? ไหม้เหรอ?” ฉันก็เหมือนได้กลิ่นแปลกๆ เช่นกัน
“โจ๊กฉันๆ” ฉันพุ่งออกจากห้องด้วยเสียงสะอึกสะอื้นทันที
โจ๊กฉันไหม้แล้วจริงๆ กลิ่นไหม้คลุ้งไปหมด
ฉันรีบวิ่งไปปิดแก๊สทันที โจ๊กยังมีสีขาวอยู่ แต่ด้านล่างมันติดก้นแล้ว แต่ยังดีที่ไม่ได้ไหม้จนหม้อทะลุอย่างที่ฉันคิดไว้
ยัยเซ่อเบธเดินไปข้างหน้าฉัน ฉันอดไม่ได้ที่จะพาลใส่เธอ “ทำไมเธอไม่รู้จักปิดแก๊สฮะ ไหม้หมดแล้วเนี่ย”
“ก็คุณไม่ได้ตั้งเวลา”
“เพราะฉะนั้นหุ่นยนต์ก็คือหุ่นยนต์ ยังไงก็ต้องใช้คนควบคุมอยู่ดี” ฉันพูดอย่างเศร้าๆ แล้วเอาทัพพีไปคนโจ๊ก
ความจริงมันก็ยังโอเคอยู่นะ แค่ข้างล่างมันติดก้นน่ะ ยังไหม้ไม่เยอะเท่าไหร่ แค่เทโจ๊กออกมาแล้วเพิ่มน้ำเข้าไปมันก็ยังกินได้
เพราะถ้าจะทำใหม่ก็ไม่รู้ว่ากี่โมงกว่าจะได้กิน ฉันหิวจนจะแห้งตายอยู่แล้ว
ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ฉันให้ยัยเซ่อเบธสั่งอาหารมายังดีซะกว่า ตอนนี้ข้างนอกมีร้านโจ๊กตั้งเยอะแยะมากมายที่ทำอร่อยๆ
ฉันตักโจ๊กสองถ้วยและผักดองวางในถาดแล้วยกขึ้นไปชั้นบน เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็ขมวดคิ้วทันที “คุณจะให้ผมกินอาหารไหม้ๆ เหรอ?”
“จริงๆ มันก็ไม่ได้ไหม้เยอะนะ แค่ก้นๆ หม้อนิดหน่อยน่ะ ที่ฉันตักมามันไม่ได้ไหม้ อีกอย่างทำไมหม้อในครัวคุณมันต้มแล้วติดก้นล่ะ เหล็กล้วนก้นมันไม่ควรไหม้ไม่ใช่เหรอ?”
“ฝีมือทำอาหารคุณแย่เอง รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง”
ฝีมือการทำอาหารของฉันดีจะตาย ทำอาหารเป็นตั้งแต่กำเนิด
ฉันประคองเขาลุกขึ้นแล้วยกโจ๊กถ้วยหนึ่งให้เขา “คุณลองชิมดู ถึงจะมีกลิ่นไหม้นิดๆ แต่มีรสชาติพิเศษไม่เหมือนใครแน่นอน”
“คุณอย่าหลอกตัวเองได้ไหม?” เขาขมวดคิ้วและต่อต้านที่จะกิน “ผมไม่อยากกินของไหม้”
ฉันรู้อยู่แล้วว่าเขาเอาใจยาก ฉันจึงถอนหายใจ “ก็ได้ งั้นฉันให้ยัยเซ่อเบธสั่งอาหารให้นะ พวกนี้เดี๋ยวฉันกินเอง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
สนุกมากเป็นอะไรที่ลุ้นตามตลอดถึงนางเอกจะดูโง่ๆแต่ก็สนุกมากครับชอบแนวนี้มากก...
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...