คนขับถามฉันว่าจะไปไหน ฉันลังเลใจอยู่สักพักแล้วบอกที่อยู่บ้านเฉียวอี้ให้กับเขา จู่ๆก็เกิดไม่อยากกลับบ้านพักของสีชิงชวนขึ้นมา ถึงแม้ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าคืนนี้เขาจะกลับไปนอนที่นั่นหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากกลับไป และไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกด้วย ฉันไม่ได้โทรหาเฉียวอี้แล้วไปหาหล่อนที่บ้านเลย ความสัมพันธ์ของเราสองคนอยู่ในขั้นที่ไม่จำเป็นต้องมีการบอกล่วงหน้าอะไรกันแล้ว ฉันรู้ว่าหล่อนอยู่บ้านฉันจึงไป คนขับส่งฉันถึงหน้าประตู คุณลุงหลี่ที่เฝ้าประตูสวนดอกไม้จำฉันได้ ฉันโผล่มากลางดึกอย่างนี้ มันทำให้เขาตกใจเล็กน้อย ถามฉันว่าจะให้ไปรายงานเฉียวอี้ก่อนไหม และจะเดินส่งฉันเข้าไปข้างในอีก ฉันเลยบอกว่าไม่เป็นไร ฉันเดินเข้าไปคนเดียวได้
เป็นฤดูที่ดอกไม้กำลังแข่งกันผลิบาน ดอกไม้ในสวนออกดอกได้สวยเป็นพิเศษ กลิ่นหอมของดอกเทียนโชยมาในอากาศ อีกชื่อหนึ่งของดอกเทียนเราเรียกว่าดอกสีเล็บ ไม่ใช่สายพันธุ์ที่หายากอะไร แต่ว่าในแต่ละปีแม่ของฉันจะต้องปลูกมันนิดหน่อย แล้วก็ใช้ดอกเทียนทำสีเล็บทาให้ฉันและเฉียวอี้ คุณแม่เฉียวไม่ค่อยรู้เรื่องดอกไม้ หลังจากที่แม่จากไป ท่านก็นึกว่าดอกไม้ทุกชนิดมีค่าเท่ากัน จึงทำการย้ายดอกไม้ทั้งหมดไปที่สวนของท่าน
เมื่อฉันเดินเข้ามาในคฤหาสน์ของเฉียวอี้ มีเพียงอาสะใภ้สี่ที่กำลังเก็บของเตรียมที่จะเข้านอนแล้ว คุณแม่เฉียวเป็นคนพิถีพิถันเรื่องการกิน จะชอบทานเมนูเส้นๆเป็นอาหารเช้า ให้ความสำคัญกับน้ำซุปมากๆ ดังนั้นเวลาที่อาสะใภ้สี่เคี่ยวน้ำซุปจะต้องเคี่ยวจนถึงดึกของทุกวัน
เมื่อเธอเห็นฉัน ก็ตกใจเช่นกัน “คุณเซียว ทำไมคุณถึงมากลางดึกอย่างนี้คะ?”
“อาสะใภ้สี่คะ” ห้องรับแขกมีกลิ่นหอมของน้ำซุปกระดูกวัวตลบอบอวนไปหมด ฉันเงยหน้าขึ้นมองชั้นบนของบ้าน “เฉียวอี้อยู่ไหมคะ?”
“คุณหนูอยู่ในห้องนอนค่ะ คาดว่าคืนนี้จะหลับเร็ว ไม่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังออกมาจากในห้องเลย”
เฉียวอี้ชอบฟังเพลงร็อกแอนด์โรล ในแต่ละคืนจะต้องเปิดเพลงในห้องนอนอย่างเสียงดัง
“ค่ะ งั้นหนูขึ้นไปก่อนนะคะ”
“คุณเซียวคะ ซุปกระดูกวัวเคี่ยวเสร็จแล้วนะคะ ให้ฉันปรุงบะหมี่ให้คุณสักชามไหมคะ?”
“ไม่ต้องแล้วค่ะ ขอบคุณอาสะใภ้มากๆนะคะ” ถึงแม้ท้องฉันจะร้อง แต่ตอนนี้ยังทานอะไรไม่ลงจริงๆ
ฉันขึ้นไปบนชั้นสองแล้วผลักประตูห้องนอนของเฉียวอี้ออก หล่อนไม่ชอบให้ห้องนอนมือเวลาหลับ จะต้องเปิดไฟดวงเล็กไว้หนึ่งดวงมาโดยตลอด ฉันเดินไปที่ปลายเตียงของเฉียวอี้ วันนี้เป็นวันที่แปลกจริงๆ เพิ่งผ่านเที่ยงคืนไป หล่อนก็หลับซะแล้ว
ฉันไปยืนข้างเตียงแล้วเรียกชื่อหล่อนเบาๆ “เฉียวอี้”
ท่านอนของหล่อนน่ากลัวมาก ถึงแม้ว่าเตียงหล่อนจะกว้างมากแค่ไหน แต่แขนและขาของหล่อนก็ยาวมากเช่นกัน นอนแผ่ราวกับปูมะพร้าวเกาะเตียงไว้อย่างงั้นแหละ หล่อนไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แถมยังนอนหายใจแรง
“เฉียวอี้!” ฉันเรียกเสียงดังกว่าเดิม พร้อมกับเอามือไปแตะตัวหล่อนหนึ่งที หล่อนถึงลุกขึ้นมานั่งทันทีแล้วลืมตางัวเงียขึ้นมามองฉัน
“เซียวเซิง?” หล่อนพูดพึมพำ “กี่โมงแล้ว ถึงเวลาเข้างานแล้วเหรอ?”
“เปล่า”
หล่อนจึงล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มขึ้นเหนือหัว “ยังไม่ถึงเวลาก็อย่ามากวนฉันสิ เซียวเซิง”
ฉันยืนมองหล่อนข้างเตียง ผ่านไปไม่กี่วิ หล่อนก็ดึงผ้าห่มออกแล้วมองฉันอย่างตกตะลึง “เซียวเซิง?”
“อื้ม”
“นี่ฉันอยู่ที่ไหน?” หล่อนมองดูรอบๆ “ฉันอยู่บ้านฉันนี่”
“อื้ม”
“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่บ้านฉันได้ล่ะ?”
“เพิ่งมาเมื่อกี้นี้”
หล่อนหยิบโทรศัพท์ที่อยู่บนหัวเตียงมาดูเวลา “นี่เพิ่งจะเที่ยงคืนกว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”
ฉันเองก็รู้สึกว่ามันเหมือนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับฉัน แต่พอจู่ๆเฉียวอี้ถามอย่างนี้กับฉัน กลับไม่รู้ว่าจะต้องตอบยังไง แต่ในใจกลับเศร้า ราวกับกำลังจะมีฝนตกกระหน่ำกลางใจฉัน
“เฉียวอี้” พอฉันอ้าปากพูดก็เริ่มมีเสียงสะอื้น ตัวฉันเองก็ยังไม่รู้เลยว่าทำไมถึงอยากร้องไห้
หล่อนน่าจะเข้าใจแล้ว เพราะตั้งแต่เด็กจนโต พวกเราต่างเข้าใจซึ่งกันและกันจนเกินความคาดหมายของตัวเอง
หล่อนลุกขึ้นจากเตียงอย่างตกใจ “นี่เธอเป็นอะไร เซียวเซิง?”
“เฉียวอี้” ฉันอ้าแขนให้กับหล่อน หล่อนคุกเข่าอยู่บนเตียงแล้วกอดฉันไว้
คืนนี้หล่อนสระผมซะด้วย มีกลิ่นหอมดอกกุหลาบจากแชมพู เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยและหอมมาก เฉียวอี้ไม่ชอบเปลี่ยนแชมพู ใช้ตัวนี้มาตลอด ฉะนั้นเวลาที่หล่อนอยู่ใกล้ฉัน ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องลืมตา ดมแค่กลิ่นก็รู้ว่าเป็นหล่อน หน้าของฉันซบไหล่ของหล่อนไว้ น้ำตาไหลทันที ฉันร้องไห้เสียงดัง ร้องออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว ฝนที่อยู่ในใจได้ตกลงมาแล้ว สายฝนสาดแรงกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะ ฉันร้องจนเกือบหมดสติ ทำให้เฉียวอี้รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก หล่อนหาผ้าขนหนูให้ฉัน หาทิชชู่ และใช้ผ้าห่มผืนใหญ่ห่อตัวฉันไว้ฉันถูกหล่อนห่อตัวอย่างกับมัมมี่ นั่งอยู่กลางเตียงของหล่อน จนฉันค่อยๆดึงสติกลับมาได้ แล้วรับแก้วที่หล่อนยื่นให้กับฉันไว้ ดื่มของเหลวที่อยู่ในแก้วจนหมดเกลี้ยง ดื่มจนหมดถึงรู้ว่าที่ตัวเองดื่มลงไปมันคือนมช็อกโกแลต
“เธอร้องจนจะขาดใจแล้ว” เฉียวอี้ตกใจกลัวจนหน้าซีดไปหมด “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ร้อยพันคำพูด แต่กลับเหมือนไม่รู้ว่าควรพูดยังไงดี ฉันมองหล่อนด้วยความงุนงง หล่อนก็มองฉันด้วยความงุนงง ดูเหมือนว่าคืนนี้หล่อนจะสระผมเสร็จแล้วนอนเลย เส้นผมบนหัวจึงดูยุ่งเหยิงและชี้ฟู เหมือนมีหญ้าขึ้นเต็มหัว
“ช่วงกลางคืนเธอไปปาร์ตี้วันเกิดของสีชิงชวนไม่ใช่เหรอ?”
“เปล่า” ฉันหยิบทิชชู่มาสั่งขี้มูก
“แล้วฉันก็ออกจากที่นั่น”
“อ้อ ออกมาก็ดี”
“ฉันคิดเรื่องงานวันเกิดของสีชิงชวนในวันนี้”
“เมื่อวานต่างหาก นี่มันผ่านเที่ยงคืนมาแล้ว”
“เฉียวอี้ เธออย่าเพิ่งขัดจังหวะฉันพูด ยิ่งเธอก่อกวนฉัน ยิ่งทำให้ฉันไม่รู้ว่าฉันพูดถึงตรงไหนแล้ว”
“อ้อ”
“ฉันคิดว่ามันยังไม่เลยเที่ยงคืน ก็เลยไปหาเขาตรงสถานที่จัดปาร์ตี้วันเกิดของเขา”
“อื้ม”
“จากนั้น” ฉันจุกอกไปหมด แล้วเอามือทุบตรงหน้าอกของตัวเอง “ฉันไม่ได้เข้าไป”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะ เพราะว่า”
“เธอรีบพูดมา มันจะทำให้ฉันเป็นบ้าแล้ว” เฉียวอี้เตะฉันหนึ่งที “สรุปมันเกิดอะไรขึ้นมันแน่?”
“ฉันเห็นสีชิงชวนกับเซียวซือยืนอยู่ใต้ต้นไม้”
“อ้อ”
“พวกเขากำลังจูบกันอยู่”
“ออ” เฉียวอี้มองฉัน “แล้วจากนั้นล่ะ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
สนุกมากเป็นอะไรที่ลุ้นตามตลอดถึงนางเอกจะดูโง่ๆแต่ก็สนุกมากครับชอบแนวนี้มากก...
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...