เขาพาฉันมาส่งที่โรงพยาบาล ฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องฉุกเฉิน และคุณหมอก็กำลังช่วยฉันทำแผล
“ฝ่าเท้าถูกขูดจนได้รับบาดเจ็บ ทำไมถึงไม่ใส่รองเท้าล่ะครับ?”
ฉันไม่ได้ตอบ สีชิงชวนหงุดหงิดมาก “ช่วยดูข้างในให้หน่อยครับ ว่ามีพวกเศษแก้วหรือเศษหินอะไรพวกนี้ไหมครับ”
“ไม่มีเศษแก้วนะ แต่มีทรายอยู่นิดหน่อย เดี๋ยวผมจะทำความสะอาดแผลให้ คุณต้องทนเจ็บหน่อยนะครับ”
“ฉีดยาชา” สีชิงชวนกล่าว
“โดยปกติทั่วไป ความเจ็บปวดนี้เราสามารถทนมันได้อยู่นะครับ การฉีดยาชาที่ฝ่าเท้า จะส่งผลต่อการเดินในระยะหนึ่งเลยครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันกล่าว “ฉันทนได้ค่ะ”
สีชิงชวนนั่งลงข้างๆฉัน กุมมือของฉันไว้ “ถ้าคุณรู้สึกเจ็บมาก ก็กัดผมนะ”
“ไม่ใช่การคลอดลูกสักหน่อย มันไม่เจ็บขนาดนั้นหรอก” ฉันดึงมือของฉัน ออกมาจากฝ่ามือของเขา
คุณหมอเห็นว่าเรากำลังปะทะคารมกันอยู่ ก็รีบทำความสะอาดแผลให้เร็วเป็นพิเศษ เพราะกลัวจะซวยไปด้วย เท้าฉันถูกพันด้วยผ้าก๊อซหนาๆ คุณหมอบอกว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งเดินไปเดินมา แต่ถ้าจำเป็นต้องเดินจริงๆล่ะก็ ให้สวมรองเท้าที่มีพื้นนิ่มใส่สบาย สีชิงชวนอุ้มฉันออกไป ฉันทำได้เพียงเอามือทั้งสองโอบคอเขาไว้ แล้วแนบตัวไว้ในอ้อมอกของเขา ฉันโคลงเคลงในอ้อมอกของเขา ตอนแรกไม่อยากเอาหน้าไปแนบไว้กับอกของเขาหรอก แต่ข้างนอกกำลังมีฝนตกอยู่ ถึงแม้ว่าจะเข้าสู่ต้นฤดูร้อน แต่ถ้ามีเม็ดฝนมาโดนหน้าก็ค่อนข้างรู้สึกหนาวอยู่เหมือนกัน ฉันเลยจำเป็นต้องแนบหน้าไว้ในอ้อมอกของเขา
เสื้อผ้าของเขามีกลิ่นหอมมาก จนทำให้ฉันแยกไม่ออกว่ามันเป็นกลิ่นน้ำหอมจากผู้หญิง หรือว่าเป็นกลิ่นน้ำยาซักผ้าจากเสื้อของเขากันแน่ สรุปคือฉันแยกไม่ออก รู้เพียงตอนนี้รู้สึกเวียนหัว แต่ทรมานมาทั้งคืนแล้ว และไม่มีเรี่ยวแรงที่จะปะทะคารมอีกแล้ว ฉันน้อมยอมรับชะตาชีวิตโดยให้เขาพากลับบ้าน ฉันรู้สึกว่าผ้าก๊อซที่คุณหมอพันที่เท้าฉันมันเวอร์เกินไปนิด แค่โดนขูดด้วยก้อนหินขนาดเล็กจนถลอก ไม่จะเป็นต้องห่อให้จนเหมือนบะจ่างขนาดนี้เลย และแล้ว ในขณะสีชิงชวนไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ฉันจึงนั่งขัดสมาธิบนเตียงแล้วแกะผ้าก๊อซออก
เขาเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยผมที่เปียกมีหยดน้ำ ฉันก็ได้ดึงผ้าก๊อซออกจนหมดแล้ว เขาจ้องฉันอย่างโมโห “คุณทำอะไร?”
“คนที่เขาไม่รู้คงคิดว่าฉันขาเป๋ไปแล้ว มันไม่ได้เป็นมากขนาดนั้น”
“ใครบอกให้คุณวิ่งโดยไม่ใส่รองเท้าล่ะ?”
“แล้วใครบอกให้คุณจูบฉันโดยไม่ได้รับอนุญาตล่ะ?”
“ทำอย่างกับว่าเมื่อก่อนผมไม่เคยทำอย่างงั้นแหละ?”
“ตอนเด็กคุณกินนมแม่ แล้วทำไมตอนนี้ไม่กินแล้วล่ะ?” ฉันถามเขากลับ นึกไม่ถึงว่าจะถามโดนจุดเขา
เขานิ่งไปพักหนึ่ง สีหน้าท่าทางเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ตอนคุณอยู่ในบริษัทเหมือนหนอนตัวหนึ่ง ตอนอยู่ต่อหน้าผมก็เหมือนเป็นมังกรอย่างงั้นเหรอ?”
ฉันไม่อยากเป็นทั้งมังกรและไม่อยากเป็นหนอนด้วย ตอนนี้ฉันอยากนอนอย่างเดียว
“คุณออกไป คืนนี้ฉันไม่อยากนอนกับคุณ”
“ไม่อยากก็ต้องอยาก เราเป็นสามีภรรยากัน”
“พวกเราไม่ใช่คู่สามีภรรยาทั่วๆไป”
“ไม่ใช่แบบทั่วไปแล้วมันเป็นแบบไหนเหรอ?” เขายันเมือเข้ากำแพงแล้วมองลงมาที่ฉัน
ดึกขนาดนี้แล้ว ฉันหมดเรี่ยวหมดแรง ไม่มีแรงพอที่จะเถียงกับเขาแล้ว
“คุณออกไป ฉันจะนอนแล้ว”
“อย่างน้อยคุณก็ต้องพันแผลที่เท้าก่อน”
“ถ้าคุณเข้ามาอีก สาบานได้เลยว่าฉันจะถีบคุณอย่างแน่นอน” ฉันทำท่าพร้อมที่จะถีบเขา จากนั้นก็เตรียมรับมือที่เขาจะสวนกลับฉัน แต่ว่าเขาไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น แค่อุ้มกล่องเก็บยามาไว้หน้าฉัน “คุณติดพลาสเตอร์ปิดแผลเองนะ”
ฉันมองเขา บอกใบ้เขาว่าให้ไสหัวไปได้แล้ว อาจเป็นเพราะว่าคืนนี้ฉันหนักแน่นพอ สีชิงชวนจึงไม่กล้าที่จะกวนใจฉันต่อ เดินออกไปเองโดยที่ฉันไม่ได้พูดอะไรอีก ทรมานมาจนถึงตอนนี้ ฟ้าก็ใกล้จะสางแล้ว และพรุ่งนี้ก็ไม่ใช่วันหยุด ฉันยังคงต้องออกไปทำงานอย่างไม่เต็มใจ ฉันหลับไปกับอารมณ์ที่รู้สึกสับสนเป็นพิเศษ และฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองได้ฝันอะไรไหม
ฉันตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น พระอาทิตย์ก็ได้ส่องแสงลงที่ฝ่าเท้าฉัน ฉันไม่มีโทรศัพท์ มองไปที่นาฬิกานกฮูกที่แขวนอยู่บนผนัง นี่มันสิบโมงแล้วนี่ การไปทำงานสายของฉันจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ฉันน่าจะเป็นประธานที่ไร้ความสามารถมากสินะ
ฉันถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ เขาจูบฉันอย่างดูดดื่ม จนจะทำให้ฉันตกลงไปในอ่างล้างหน้าอยู่แล้ว มือทั้งสองออกแรงยันเค้าท์เตอร์เอาไว้ “สีชิงชวน!”
เขาโอบหลังฉันเอาไว้จากนั้นก็หยุดนิ่ง หรี่ตาลงแล้วมองฉัน “ครั้งนี้ไม่กัดผมแล้วเหรอ?”
“ไม่ใช่เพราะฉันใจอ่อน แต่เป็นเพราะฉันเป็นห่วงว่าคุณยังไม่ได้แปรงฟันต่างหาก”
“เหอะ” เขากอดฉันไว้ “เสนาธิการหัวหมาของคุณโทรหาผมหลายสายเลย บอกว่าเที่ยงนี้คุณมีนัดกินข้าวแล้วคุยงานกัน”
“เสนาธิการหัวหมาของฉันคือใครกัน?”
“คุณลองเดาดูสิ”
มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นเฉียวอี้
“ตอนนี้กี่โมงแล้วล่ะ?”
“สิบโมงยี่สิบ”
“รีบปล่อยฉันลง ฉันจะต้องไปที่เซียวซื่อกรุ๊ป”
“ผมจะไปส่งคุณ” เขาอุ้มฉันไปที่ห้องแต่งตัว “ใส่ชุดไหน ผมจะช่วยคุณเลือกเอง”
ตอนนี้เสื้อผ้าของฉันถูกแขวนไว้ในห้องเก็บเสื้อผ้าเป็นแถวๆเลย ทุกๆเช้าจะต้องมานั่งปวดหัวกับการเลือกชุดตลอด ฉันจะชี้ไปเรื่อย ชี้โดนชุดไหนก็ใส่ชุดนั้น ฉันชี้ไปที่ชุดสีม่วงที่เป็นชุดแซก เขาหยิบมาให้ฉัน ฉันรับเสื้อผ้าเอาไว้แล้วมองเขา
“ทำไมอ่ะ?” เขาถามฉัน
“คุณไม่ออกไปแล้วฉันจะเปลี่ยนยังไง?”
“ผมไม่ออกไปคุณก็เปลี่ยนได้นิ” เขายิ้มอย่างเป็นมิตร แต่ฉันกลับอยากจะเตะเขาให้ตายไปเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
สนุกมากเป็นอะไรที่ลุ้นตามตลอดถึงนางเอกจะดูโง่ๆแต่ก็สนุกมากครับชอบแนวนี้มากก...
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...