พ่ายรักเมียในนาม(จบ) นิยาย บท 268

สีชิงชวนออกไปโดยไม่กลับมาอีก จากนนั้นป๋ออวี่มาพร้อมน้ำซุปให้ฉัน

ทันทีที่ฉันดื่มไปหนึ่งคำก็สามารถบอกได้เลยว่าเป็นฝีมือของพ่อครัวตระกูลสี ตระกูลสีมีพ่อครัวชาวกวางตุ้งคนหนึ่งที่เก่งในด้านการปรุงซุปโดยเฉพาะ ฉันใช้ช้อนตักขึ้นมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าซุปรสหวานนี้คือซุปอะไร

“ซุปตุ๋นเนื้อหอยทาก” ป๋ออวี่บอกฉัน “เป็นซุปที่มีรสหวานและใสมาก นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการบำรุงปอดด้วย”

“ขอบคุณค่ะ” ฉันพูด

“ผมแค่มาส่งแทน คุณสีเป็นคนสั่งให้พ่อครัวที่บ้านทำ”

ฉันยิ้มให้ยิ้มราวกับคนซื่อบื้อ

อย่างไรก็ตาม ฉันมักจะทำตัวเหมือนคนบ๊องต่อหน้าสีชิงชวน

ป๋ออวี่นั่งชื่นชมอยู่ข้างหน้าที่ฉันดื่มซุปหมด จากนั้นเขาก็ช่วยฉันเก็บจานชาม

ฉันเฝ้ามองเขาที่กำลังก้มเก็บของอย่างไม่เกรงใจ “ป๋ออวี่ นายเข้าใจในตัวสีชิงชวนไหม?”

เขาเงยหน้าขึ้นมองฉัน “คุณพูดถึงแง่มุมไหนครับ?”

“ทุกแง่มุม”

เขาหยุดและแสดงท่าทางราวกับกำลังครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ส่วนใหญ่แล้วผมได้แต่อาศัยการคาดเดา ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบางครั้งคุณสีกำลังคิดอะไรอยู่”

“แล้วนายคิดว่า ทำไมเขาถึงยังต้องการที่จะรักษาสถานะแต่งงานของฉันกับเขาล่ะ?”

เขาส่ายหัว “ผมไม่ทราบครับ”

“ลองเดาดูซิ เดาจากแง่มุมที่นายรู้จักสีชิงชวนดีที่สุด”

“ถ้าอย่างนั้นก็คงเนเรื่องของผลประโยชน์” ป๋ออวี่กล่าว

เรื่องนี้ฉันพอเดาได้ แต่เมื่อป๋ออวี่พูดออกมา หัวใจของฉันก็จมดิ่งลงไป

เหอะ ฉันกำลังคาดหวังอะไรอยู่?

คาดหวังว่าสีชิงชวนจะสนใจฉันและนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมหย่ากับฉัน?

ฉันคิดมากไปจริง ๆ เรื่องระหว่างเรามันเป็นเพียงผลประโยชน์

“ผลประโยชน์อะไร? ฉันไม่เข้าใจว่าการแต่งงานของฉันกับเขาจะทำให้เขาได้ผลประโยชน์อะไร?”

ป๋ออวี่มองมาที่ฉันพร้อมฝืนยิ้ม และไม่พูดอะไรอีก

ป๋ออวี่เก็บถ้วยเก็บความร้อนแล้วเดินออกไป ฉันส่งเขาไปที่ทางเดิน

เมื่อฉันกลับถึงห้อง โทรศัพท์ของฉันที่วางไว้บนเตียงก็ดังขึ้น

ฉันรับสายทันที เฉียวอี้เป็นคนโทรมา

เธอมักจะโทรมาถามฉันว่าฉันกินหรือดื่มหรือยัง หรือจะถามว่าสีชิงชวนมาวุ่นวายอะไรกับฉันหรือเปล่า

แต่ครั้งนี้ เฉียวอี้ร้องไห้สียงสะอื้น ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและมันทำให้ฉันตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ

“เฉียวอี้ เธอเป็นอะไร?”

“เมื่อกี้แม่ฉันโทรมาบอกว่าคราวที่แล้วที่พ่อฉันไปตรวจร่างกาย ตรวจเจอว่าพ่อเป็นมะเร็งปอด”

“อะไรนะ...” ฉันหูผึ่งทันทีและหูของฉันเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของเฉียวอี้

“พ่อฉันเป็นมะเร็งปอดระยะลุกลาม แม่บอกฉันว่ายังเหลือเวลาอีกเกือบปี ฮือฮือฮือ...”

“เฉียวอี้” เสียงของฉันแหบแห้งและสมองตันไปหมด ข่าวนี้กะทันหันเกินไปสำหรับฉัน

ฉันเติบโตมาพร้อมกับเฉียวอี้และฉันก็สนิทกับคุณพ่อเฉียวและคุณแม่เฉียว ในใจฉันพวกเขาเป็นญาติของฉัน

ฉันคัดจมูก “เฉียวอี้ แม่บุญธรรมโทรมาบอกเธอเหรอ?”

“อืม แม่ของฉันโทรมาบอกฉันว่าตอนนี้พ่ออยู่โรงพยาบาล หลังจาดที่ผลออกมาแล้ว หมอก็ไม่ยอมให้พ่อออกจากโรงพยาบาลแล้วรักษาตัวที่โรงพยาบาลเลย”

เธอแทบจะร้องไห้ทันทีที่เห็นฉัน ฉันเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าเธอ ก่อนที่ฉันจะพูดว่าแม่บุญธรรม เธอก็จับมือฉันและเริ่มร้องไห้

“เสี่ยวเซิง...”

คุณแม่เฉียวเสียงแหบขึ้นจมูก ฉันไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เธอร้องไห้ไปกี่ครั้ง

เมื่อเห็นสภาพเธอ ฉันก็เศร้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ฉันโอบไหล่คุณแม่เฉียวแล้วร้องไห้เสียงดัง

อันที่จริงฉันไม่ควรร้องไห้ เวลานี้ฉันควรจะฝืนไว้และปลอบคุณแม่เฉียวไม่ให้ร้องไห้หนักไปกว่านี้

ฉันเข้าใจทฤษฎีหมด ทว่าฉันก็ฝืนกลั้นไว้ไม่อยู่

ฉันร้องไห้จนคุณแม่เฉียวเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้ฉัน ฝ่ามือของเธอเปียกไม่ต่างจากดวงตาของเธอ “เสี่ยวเซียว” เสียงของเธอสั่นเทาในทันทีที่เริ่มพูด “พวกเราต้องเข้มแข็ง แม้ว่าวั่นซานจะเป็นอะไรไปแต่เราห้ามล้ม บริษัทจะขาดผู้นำไม่ได้ มีคนจำนวนมากกำลังเฝ้าดูเราอยู่”

ฉันมองดวงตาที่แน่วแน่อย่างยิ่งของคุณแม่เฉียวผ่านละอองน้ำที่ขุ่นมัว เธอกุมมือฉันไว้อย่างแรง “ไม่ว่าใครจะมาไม้ไหนเราก็ต้องรับมือให้ได้ เราสามารถแบกรับมันได้ เราต้องทำได้แน่นอน!”

ตอนนี้ฉันแค่รู้สึกเศร้าใจ โดยไม่ได้คิดมาก ฉันไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่คุณแม่เฉียวกำลังพูด

คุณแม่เฉียวพาฉันไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ ฉันลูบหน้าด้วยน้ำเย็น คุณแม่เฉียวพิงอ่างแล้วมองมาที่ฉัน ใบหน้าสวยของเธอเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แต่แผ่นหลังของเธอตั้งตรง

ฉันมักจะเห็นคุณแม่เฉียวเป็นแบบนี้ก่อนออกศึกทุกครั้ง

เมื่อไม่กี่ปีก่อน คุณแม่เฉียวถูกภรรยาเก่าของคุณพ่อเฉียวตามรังควาน ภรรยาเก่าของเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาคนมาสร้างปัญหาให้คุณแม่เฉียวในทุก ๆ วัน

เธอเป็นเหมือนนักรบหญิงที่ต่อสู้โดยปราศจากความกลัว

ถ้าฉันมีความกล้าเพียงครึ่งเดียวของคุณแม่เฉียวก็คงดี

หลังจากที่ฉันล้างหน้าเสร็จ ฉันก็เช็ดหน้าด้วยผ้าเช็ดหน้าที่คุณแม่เฉียวให้ฉัน เธอกดไหล่ของฉันแล้วพูดว่า “เสี่ยวเซียว จริง ๆ แล้วแม่ได้เตรียมใจไว้นานแล้ว พ่อบุญธรรมของหนูไอมานาน แม่บอกให้เขามาตรวจที่โรงพยาบาลแต่เขามักจะบอกว่าไม่ว่าง แม่ก็สังหรณ์ในใจว่าถ้ามาถึงจุดนี้จริง ๆ แม่ควรทำอย่างไร จะสนับสนุนบริษัทได้อย่างไร และจะทำอย่างไรให้วั่นซานอยู่ได้นาน ๆ"

“แม่คะ แม่คิดมานานแล้ว” ฉันสำลัก

“เราต้องคิดซิ ตอนนี้เราไม่สามารถจมดิ่งไปกับความเศร้า มีหมาป่าหลายตัวที่จ้องจะเขมือบเราอยู่ข้างหลัง เราต้องสู้นะ!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)