สีชิงชวนออกไปโดยไม่กลับมาอีก จากนนั้นป๋ออวี่มาพร้อมน้ำซุปให้ฉัน
ทันทีที่ฉันดื่มไปหนึ่งคำก็สามารถบอกได้เลยว่าเป็นฝีมือของพ่อครัวตระกูลสี ตระกูลสีมีพ่อครัวชาวกวางตุ้งคนหนึ่งที่เก่งในด้านการปรุงซุปโดยเฉพาะ ฉันใช้ช้อนตักขึ้นมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าซุปรสหวานนี้คือซุปอะไร
“ซุปตุ๋นเนื้อหอยทาก” ป๋ออวี่บอกฉัน “เป็นซุปที่มีรสหวานและใสมาก นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการบำรุงปอดด้วย”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันพูด
“ผมแค่มาส่งแทน คุณสีเป็นคนสั่งให้พ่อครัวที่บ้านทำ”
ฉันยิ้มให้ยิ้มราวกับคนซื่อบื้อ
อย่างไรก็ตาม ฉันมักจะทำตัวเหมือนคนบ๊องต่อหน้าสีชิงชวน
ป๋ออวี่นั่งชื่นชมอยู่ข้างหน้าที่ฉันดื่มซุปหมด จากนั้นเขาก็ช่วยฉันเก็บจานชาม
ฉันเฝ้ามองเขาที่กำลังก้มเก็บของอย่างไม่เกรงใจ “ป๋ออวี่ นายเข้าใจในตัวสีชิงชวนไหม?”
เขาเงยหน้าขึ้นมองฉัน “คุณพูดถึงแง่มุมไหนครับ?”
“ทุกแง่มุม”
เขาหยุดและแสดงท่าทางราวกับกำลังครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ส่วนใหญ่แล้วผมได้แต่อาศัยการคาดเดา ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบางครั้งคุณสีกำลังคิดอะไรอยู่”
“แล้วนายคิดว่า ทำไมเขาถึงยังต้องการที่จะรักษาสถานะแต่งงานของฉันกับเขาล่ะ?”
เขาส่ายหัว “ผมไม่ทราบครับ”
“ลองเดาดูซิ เดาจากแง่มุมที่นายรู้จักสีชิงชวนดีที่สุด”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงเนเรื่องของผลประโยชน์” ป๋ออวี่กล่าว
เรื่องนี้ฉันพอเดาได้ แต่เมื่อป๋ออวี่พูดออกมา หัวใจของฉันก็จมดิ่งลงไป
เหอะ ฉันกำลังคาดหวังอะไรอยู่?
คาดหวังว่าสีชิงชวนจะสนใจฉันและนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมหย่ากับฉัน?
ฉันคิดมากไปจริง ๆ เรื่องระหว่างเรามันเป็นเพียงผลประโยชน์
“ผลประโยชน์อะไร? ฉันไม่เข้าใจว่าการแต่งงานของฉันกับเขาจะทำให้เขาได้ผลประโยชน์อะไร?”
ป๋ออวี่มองมาที่ฉันพร้อมฝืนยิ้ม และไม่พูดอะไรอีก
ป๋ออวี่เก็บถ้วยเก็บความร้อนแล้วเดินออกไป ฉันส่งเขาไปที่ทางเดิน
เมื่อฉันกลับถึงห้อง โทรศัพท์ของฉันที่วางไว้บนเตียงก็ดังขึ้น
ฉันรับสายทันที เฉียวอี้เป็นคนโทรมา
เธอมักจะโทรมาถามฉันว่าฉันกินหรือดื่มหรือยัง หรือจะถามว่าสีชิงชวนมาวุ่นวายอะไรกับฉันหรือเปล่า
แต่ครั้งนี้ เฉียวอี้ร้องไห้สียงสะอื้น ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและมันทำให้ฉันตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
“เฉียวอี้ เธอเป็นอะไร?”
“เมื่อกี้แม่ฉันโทรมาบอกว่าคราวที่แล้วที่พ่อฉันไปตรวจร่างกาย ตรวจเจอว่าพ่อเป็นมะเร็งปอด”
“อะไรนะ...” ฉันหูผึ่งทันทีและหูของฉันเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของเฉียวอี้
“พ่อฉันเป็นมะเร็งปอดระยะลุกลาม แม่บอกฉันว่ายังเหลือเวลาอีกเกือบปี ฮือฮือฮือ...”
“เฉียวอี้” เสียงของฉันแหบแห้งและสมองตันไปหมด ข่าวนี้กะทันหันเกินไปสำหรับฉัน
ฉันเติบโตมาพร้อมกับเฉียวอี้และฉันก็สนิทกับคุณพ่อเฉียวและคุณแม่เฉียว ในใจฉันพวกเขาเป็นญาติของฉัน
ฉันคัดจมูก “เฉียวอี้ แม่บุญธรรมโทรมาบอกเธอเหรอ?”
“อืม แม่ของฉันโทรมาบอกฉันว่าตอนนี้พ่ออยู่โรงพยาบาล หลังจาดที่ผลออกมาแล้ว หมอก็ไม่ยอมให้พ่อออกจากโรงพยาบาลแล้วรักษาตัวที่โรงพยาบาลเลย”
เธอแทบจะร้องไห้ทันทีที่เห็นฉัน ฉันเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าเธอ ก่อนที่ฉันจะพูดว่าแม่บุญธรรม เธอก็จับมือฉันและเริ่มร้องไห้
“เสี่ยวเซิง...”
คุณแม่เฉียวเสียงแหบขึ้นจมูก ฉันไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เธอร้องไห้ไปกี่ครั้ง
เมื่อเห็นสภาพเธอ ฉันก็เศร้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ฉันโอบไหล่คุณแม่เฉียวแล้วร้องไห้เสียงดัง
อันที่จริงฉันไม่ควรร้องไห้ เวลานี้ฉันควรจะฝืนไว้และปลอบคุณแม่เฉียวไม่ให้ร้องไห้หนักไปกว่านี้
ฉันเข้าใจทฤษฎีหมด ทว่าฉันก็ฝืนกลั้นไว้ไม่อยู่
ฉันร้องไห้จนคุณแม่เฉียวเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้ฉัน ฝ่ามือของเธอเปียกไม่ต่างจากดวงตาของเธอ “เสี่ยวเซียว” เสียงของเธอสั่นเทาในทันทีที่เริ่มพูด “พวกเราต้องเข้มแข็ง แม้ว่าวั่นซานจะเป็นอะไรไปแต่เราห้ามล้ม บริษัทจะขาดผู้นำไม่ได้ มีคนจำนวนมากกำลังเฝ้าดูเราอยู่”
ฉันมองดวงตาที่แน่วแน่อย่างยิ่งของคุณแม่เฉียวผ่านละอองน้ำที่ขุ่นมัว เธอกุมมือฉันไว้อย่างแรง “ไม่ว่าใครจะมาไม้ไหนเราก็ต้องรับมือให้ได้ เราสามารถแบกรับมันได้ เราต้องทำได้แน่นอน!”
ตอนนี้ฉันแค่รู้สึกเศร้าใจ โดยไม่ได้คิดมาก ฉันไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่คุณแม่เฉียวกำลังพูด
คุณแม่เฉียวพาฉันไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ ฉันลูบหน้าด้วยน้ำเย็น คุณแม่เฉียวพิงอ่างแล้วมองมาที่ฉัน ใบหน้าสวยของเธอเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แต่แผ่นหลังของเธอตั้งตรง
ฉันมักจะเห็นคุณแม่เฉียวเป็นแบบนี้ก่อนออกศึกทุกครั้ง
เมื่อไม่กี่ปีก่อน คุณแม่เฉียวถูกภรรยาเก่าของคุณพ่อเฉียวตามรังควาน ภรรยาเก่าของเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาคนมาสร้างปัญหาให้คุณแม่เฉียวในทุก ๆ วัน
เธอเป็นเหมือนนักรบหญิงที่ต่อสู้โดยปราศจากความกลัว
ถ้าฉันมีความกล้าเพียงครึ่งเดียวของคุณแม่เฉียวก็คงดี
หลังจากที่ฉันล้างหน้าเสร็จ ฉันก็เช็ดหน้าด้วยผ้าเช็ดหน้าที่คุณแม่เฉียวให้ฉัน เธอกดไหล่ของฉันแล้วพูดว่า “เสี่ยวเซียว จริง ๆ แล้วแม่ได้เตรียมใจไว้นานแล้ว พ่อบุญธรรมของหนูไอมานาน แม่บอกให้เขามาตรวจที่โรงพยาบาลแต่เขามักจะบอกว่าไม่ว่าง แม่ก็สังหรณ์ในใจว่าถ้ามาถึงจุดนี้จริง ๆ แม่ควรทำอย่างไร จะสนับสนุนบริษัทได้อย่างไร และจะทำอย่างไรให้วั่นซานอยู่ได้นาน ๆ"
“แม่คะ แม่คิดมานานแล้ว” ฉันสำลัก
“เราต้องคิดซิ ตอนนี้เราไม่สามารถจมดิ่งไปกับความเศร้า มีหมาป่าหลายตัวที่จ้องจะเขมือบเราอยู่ข้างหลัง เราต้องสู้นะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
สนุกมากเป็นอะไรที่ลุ้นตามตลอดถึงนางเอกจะดูโง่ๆแต่ก็สนุกมากครับชอบแนวนี้มากก...
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...