ก่อนหน้านี้ฉันยังตบหน้าอกตัวเอง พร้อมรับประกันต่อหน้าเฉียวอี้อยู่เลย ฉันบอกว่าไม่มีหล่อนฉันก็อยู่ได้ จะต้องจัดการเซียวซื่อกรุ๊ปให้ดีอย่างแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงเลย ว่าการดำเนินงานของเซียวซื่อกรุ๊ป มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉันไหม ก่อนหน้านี้ที่ฉันบอกกับเฉียวอี้ว่า ถ้าไม่มีหล่อนฉันก็อยู่ได้ ความจริงฉันรู้ดีแก่ใจว่าถ้าไม่มีหล่อน ฉันไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว เฉียวอี้มีพรสวรรค์ด้านการบริหารบริษัท หล่อนมีความคิดเป็นของตัวเอง หล่อนมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ฉันรู้สึกว่า มีตัวฉันเพิ่มมาอีกแปดคนก็ยังสู้หล่อนแค่คนเดียวไม่ได้เลย
นอกจากนี้ฉันยังพึ่งพาหล่อนทางด้านจิตใจและความรู้สึกอีกด้วย ปกติโต๊ะทำงานของหล่อนก็จะอยู่ในห้องทำงานของฉัน โต๊ะของเราจะหันหน้าเข้าหากัน ก็เหมือนกับตอนที่เราอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย พวกเราก็จัดเตียงของเราไว้ตรงข้ามกัน พอลืมตาก็สามารถมองเห็นกันและกันได้ เฉียวอี้จึงมีความหมายที่แตกต่างออกไปสำหรับฉัน หล่อนไม่เพียงเป็นแค่ผู้ช่วยของฉัน เป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน แต่หล่อนยังเป็นที่พึ่งทางใจให้ฉันมีกำลังใจที่จะอยู่ต่อได้หลายปีขนาดนี้ หลังจากที่พ่อจากไป ฉันก็พึ่งเฉียวอี้ทุกอย่าง ฉันรู้ว่าต่อไปฉันควรพึ่งพาตัวเอง ฉันเข้าใจกฎเกณฑ์ดีแต่ยากเกินกว่าจะทำได้
หร่วนหลิงมองฉันแล้วบอกว่า “จะรับกาแฟไหมคะ? ฉันมีกาแฟขาวอยู่ค่ะ ถึงจะไม่ใช่ชนิดที่ดังมาก แต่พอทานแล้วจะรู้สึกชื่นใจมากเลยค่ะ ทำให้สามารถลืมความเครียดได้”
ดูเธอทำตัวแปลกๆ ฉันรู้ว่าเธอตั้งใจจะหยอกฉันเล่น ฉันหัวเราะเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอทำให้ฉันหยอกเย้าสำเร็จ
“คุณพูดเหมือนเป็นยากล่อมประสาทเลยนะ เหมือนของพวกนั้นเลย คาดไม่ถึงว่ามันจะมีประสิทธิผลมหัศจรรย์ขนาดนั้น?”
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะว่าไม่ใช่ของพวกนั้น พวกนั้นจะนำพาความสุขมาให้เป็นเวลาสั้นๆ จากนั้นก็ต้องแบกรับการกัดเซาะของผลข้างเคียงและการลงโทษที่รุนแรงทางกฏหมาย”
หร่วนหลิงดูจริงจังมาก หากว่าฉันไม่ลองชิมดูบ้างก็จะเป็นการเสียน้ำใจเธอที่ต้องมาเสียเวลาพูด หร่วนหลิงไปชงกาแฟมาให้ฉัน ฉันนั่งลงโต๊ะทำงานของฉันแล้วตรวจสอบธุรกิจทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับในเซียวซื่อกรุ๊ปในหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา หร่วนหลิงเป็นเลขาที่ดีมากคนหนึ่ง เธอจัดการได้เป็นระเบียบเรียบร้อยและผู้รับผิดชอบงานก็แทบจะทำงานเสร็จอย่างสมบูรณ์กันทุกคน ฉันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นส่วนเกินของเซียวซื่อกรุ๊ปจริงๆ ทำให้รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีตัวตนนี้เลยก็ได้
คุณดูตอนที่ฉันไม่อยู่สิ ธุรกิจของเซียวซื่อกรุ๊ปไปได้อย่างราบรื่นมาก มันกลายเป็นเรื่องปกติจนไม่รู้จะปกติยังไงแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรดีใจหรือว่าควรเสียใจ แต่น่าจะควรดีใจนะ ที่ธุรกิจของเซียวซื่อกรุ๊ปยังคงปกติ แม้ฉันจะนอนอยู่ที่บ้านก็สามารถชุบมือเปิบได้เลย ฉันสามารถถามคำถามเชิงสัญลักษณ์เพียงคำสองคำและถือว่าทุกอย่างเป็นเครดิตของตัวเอง หากว่าฉันเข้มแข็งกว่านี้หน่อยก็จะไม่แคร์เรื่องพวกนั้น
ฉันจ้องคอมพิวเตอร์แล้วเหม่อลอย หร่วนหลิงเข้ามาเสิร์ฟกาแฟให้ฉัน วางแก้วกาแฟอย่างเบามือบนโต๊ะทำงานฉัน คาดว่าคงเพราะเห็นว่าฉันกำลังทำหน้าบูดอยู่แล้วถามว่า “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ? ท่านประธาน?”
มีปัญหาอะไรที่ไหนกันล่ะ? ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือไม่มีปัญหาใดๆอะไรทั้งสิ้นนี่แหละ
“เปล่าๆ ดีมาก คุณจัดการได้ดีมาก ผู้บริหารระดับสูงทุกคนก็ทำได้ดีมาก คุณคิดว่าฉันควรชมเชยพวกเขาตอนประชุมหน่อยไหม”
หร่วนหลิงเหมือนอยากพูดอะไรแต่ไม่กลัวพูดออกมา ฉันดูออกว่าเธอมีอะไรจะพูดกับฉันแต่ก็พะว้าพะวังเล็กน้อย
ฉันกล่าว “คุณเรื่องอะไรก็พูดมาได้เลย ฉันจะดูว่าฉันเดาถูกไหม”
ท่าทางเธอดูอึดอัด พอฉันเห็นสีหน้าท่าทางแบบนี้ก็พอเดาอะไรได้บ้างแล้ว เหมือนอย่างที่สีชิงชวนบอกไว้ แม้ว่าฉันคนนี้จะอ่อนแอยังไงก็ตาม แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นโง่อะไรขนาดนั้น
ฉันกล่าว “ผู้บริหารระดับสูงและผู้ถือหุ้นได้ร่วมมือกับผู้จัดการของแต่ละแผนก เพื่อยื่นหนังสือเสนอให้ฉันสละตำแหน่งประธานบริษัทใช่ไหม?”
“คุณทราบแล้วเหรอคะ?”
“สีชิงชวนเป็นคนบอกฉันเอง”
“แล้วคุณสีชิงชวนได้เสนอข้อคิดเห็นดีๆอะไรไหมคะ?”
“ไม่อยากจะเชื่อ” หร่วนหลิงใช้ฝ่ามือตบที่หัวของตัวเอง ฉันยังกลัวว่าเธอจะตบตัวเองจนหมดสติไปเลย
“ไม่ได้ ฉันต้องโทรหาเฉียวอี้ ฉันจะต้องบอกให้เธอรู้เรื่องนี้ด้วย”
“อย่า คุณอย่าเด็ดขาดเลยนะ ตอนนี้เฉียวอี้ก็มีเรื่องให้ต้องเครียดมากพอแล้ว คุณอย่าไปเพิ่มความกลัดกลุ้มใจให้เธออีกเลยนะ”
ฉันคิดว่าหร่วนหลิงน่าจะรู้เรื่องของเฉียวอี้อยู่แล้ว ช่วงนี้ออกข่าวนี้บ่อยมาก ไม่ได้เป็นความลับอะไรอีกแล้ว หร่วนหลิงหยุดโทรแล้วมองฉันอย่างลังเลใจ
ฉันวางโทรศัพท์ของเธอลง “เฉียวอี้เพิ่งจะรับช่วงต่อในเฉียวซื่อกรุ๊ป ฉันคิดว่าตอนนี้ยังจัดการเรื่องต่างๆได้ไม่หมด คุณอย่าเอาเรื่องของฉันไปทำให้เธอเครียดเลยนะ”
“แต่สิ่งที่คุณตัดสินใจ ฉันไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยนะคะ”
ฉันกวักมือให้เธอนั่งลงแล้วระงับอารมณ์ตัวเองก่อน “ฉันเข้าใจความหมายของคุณ คุณต้องการจะบอกให้ฉันอย่ายอมแพ้ แต่การเป็นคน นอกเหนือจากการไม่ยอมแพ้แล้ว ยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือ ฉันเข้าใจตัวเองดีว่าตัวเองเป็นบุคลากรประเภทไหน สำหรับด้านการบริหารจัดการบริษัท ฉันมีความสามารถไม่เท่าคนอื่น ฉันสู้ครึ่งหนึ่งของเซียวซือไม่ได้เลย ฉันจึงต้องการที่จะมอบตำแหน่งในตอนนี้ของฉันให้กับเขา ปล่อยให้คนมีความสามารถอย่างเขา ใช้ความสามารถของตัวเองในตำแหน่งที่เขาสามารถทำได้ มันเป็นเรื่องที่ดีมากไม่ใช่เหรอ?”
“สิ่งที่คุณพูดมันก็ถูกค่ะ” หร่วนหลิงร้อนใจจนพูดสำเนียงไต้หวันออกมา “แต่คุณเคยคิดไหมว่า การสละตำแหน่งให้กับเซียวซือนั่นมันเป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น ต่อจากนั้นคือแม่เลี้ยงของคุณและคนอื่นๆจะต้องขอหุ้นที่คุณถืออยู่ในมือ โดยอ้างว่าหุ้นของเซียวซื่อกรุ๊ปไม่สามารถรองรับงานของพวกเขาในตอนนี้ได้ เมื่อถึงเวลานั้นคุณจะทำยังไง คุณจะสละหุ้นส่วนนั้นให้พวกเขาอีกด้วยไหม?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
สนุกมากเป็นอะไรที่ลุ้นตามตลอดถึงนางเอกจะดูโง่ๆแต่ก็สนุกมากครับชอบแนวนี้มากก...
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...