พ่ายรักเมียในนาม(จบ) นิยาย บท 350

ยังดีที่ร้านอาหารยุคนี้ใช้การสแกนสั่งอาหารกันหมด ฉันไม่ต้องตะโกนเรียกพนักงานด้วยเสียงดังๆ ให้มารับออเดอร์อีกแล้ว สาวๆ โต๊ะข้างๆ จะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงฉันเข้า ถ้าเกิดพวกเธอหันกลับมาแล้วเราได้สบตากัน แบบนั้นก็คงวางตัวไม่ถูกกันไปหมด

ด้วยเหตุนี้ฉันจึงก้มหน้าสั่งอาหารเงียบๆ สีชิงชวนยกมือขึ้นเท้าคางโดยการประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน เขาวางศีรษะลงบนนั้นและมองฉันอยู่ตลอดเวลา

ฉันถามเขาเบาๆ “คุณจะกินอะไร? กินไส้หมูไหม?”

เขาไม่ทานเครื่องใน แต่ว่าช่วงนี้ดูเหมือนฉันจะค่อยๆ ลบนิสัยพวกนี้ของเขาไปได้แล้ว

ฉันแค่ถามเขาไปตามมารยาทนิดหน่อย จากนั้นก็สั่งอาหารต่อ

เมื่อฉันสั่งอาหารเสร็จ เขาก็ยังมองฉันอยู่เหมือนเดิม ฉันจึงถอนหายใจออกไป “มีอะไรคุณก็พูดมาตรงๆ เถอะ!”

“เมื่อกี้พวกเธอพูดถูกอยู่ประโยคหนึ่ง คุณรู้ไหมว่าประโยคไหน?”

ฉันอยากจะพูดออกไปมากเลยว่า ‘คุณเดาสิ’ แต่ฉันไม่กล้า

ฉันครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนและเลือกพูดประโยคที่ทิ่มแทงใจฉันมากที่สุดออกมา “พวกเธอบอกว่าฉันไร้ความสามารถ อ่อนแอ แต่คนที่น่าสงสารก็ต้องมีสิ่งที่ทำให้คนเกลียด”

“พูดได้ไม่ครบเท่าไหร่ ผมเพิ่มให้เอง ทำไมคุณถึงมอบงานทั้งหมดของคุณให้เซียวซือ แล้วก็เพิ่งรถชนมา ขาก็หัก น่าสงสารขนาดนี้ทำไมพวกเธอถึงยังลงมือกับคุณ? ก็เพราะคุณอ่อนแอแล้วก็ขี้ขลาด ต่อให้คุณถูกพวกเธอทำร้าย ก็ทำอะไรพวกเธอไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกเธอก็เลยไม่กลัวเพราะถือว่ามีคนหนุนหลัง คุณน่าจะรู้จักสำนวนที่ว่า ‘ตีหัวหมา ด่าแม่เจ็ก’ ใช่ไหม?”

“งั้นก็หมายความว่า ฉันไปกระตุ้นต่อมชั่วร้ายของพวกเขาเข้าเหรอ?”

“จะเข้าใจว่างั้นก็ได้”

ฉันหิวจนสมองขาดออกซิเจนและคิดอะไรไม่ออก ฉันจึงรออาหารของฉันให้มาเสิร์ฟอย่างใจจดใจจ่อ

พูดจริงๆ นะ ตอนนี้ฉันถูกล้อมรอบโจมตีทั้งหน้าทั้งหลังขนาดนี้แล้ว ยังมีกะจิตกะใจจะกินอีก ใจฉันชักจะกว้างมากขึ้นไปทุกทีๆ แล้ว

สีชิงชวนไม่ชอบเครื่องใน แต่ฉันจงใจสั่งมันมาเยอะๆ เพราะถ้าเทียบกับเนื้อแล้ว เครื่องในมันอร่อยมากจริงๆ

สีชิงชวนมองท่าทางฉันทานเงียบๆ “ในที่สุดคุณก็แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่าชอบอะไรบางอย่าง ไม่ง่ายเลยนะ”

ฉันไม่เข้าใจว่าเขากำลังชมฉันหรือว่ากำลังเย้ยหยันฉันกันแน่

ฉันลวกผ้าขี้ริ้วชิ้นหนึ่งและเอาไปใส่ในถ้วยของสีชิงชวน “จิ้มอันนี้กินกับน้ำจิ้มผงสิ อร่อยเหาะ”

เขาไม่กิน แต่พูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เรื่องวันนี้คุณคิดจะแก้มันยังไง?”

“เดี๋ยวค่อยถามเฉียวอี้” ฉันโพล่งออกมา จากนั้นฉันก็เห็นว่าหน้าเขาตึงขึ้นมาทันที

เขาต้องด่าฉันแน่ๆ ว่าเอาแต่หวังพึ่งเฉียวอี้ไปซะทุกเรื่อง งั้นใครให้เขาเป็นคนที่หวังพึ่งไม่ได้กันล่ะ?

ฉันไม่หวังพึ่งเฉียวอี้แล้วฉันจะไปหวังพึ่งใครได้ล่ะ?

“แล้วถ้าเฉียวอี้ไม่ช่วยคุณล่ะ คุณคิดจะทำยังไง?”

“เฉียวอี้ต้องช่วยฉันแน่ เราสองคนสนิทกันมาตั้งนาน”

สีชิงชวนบอกฉันด้วยความมั่นใจ “เธอไม่ช่วยคุณหรอก”

ฉันเคี้ยวผ้าขี้ริ้วกรอบๆ ตอนที่ฉันหิวมากๆ สมองฉันจะแล่นช้า เหมือนกับเครื่องจักรที่ไม่มีน้ำมันหล่อลื่นเครื่องหนึ่งที่หมุนไม่ไป

เรื่องแบบนี้ไม่มีอะไรให้น่าถกเถียงกันหรอก รอดึกๆ ฉันกลับไปโทรหาเฉียวอี้ก็รู้แล้วไม่ใช่หรือไง

สีชิงชวนไม่ได้เจริญอาหารเท่าฉัน เขาแทบจะไม่ได้ทานเลยสักคำ วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์มาโน้มน้าวให้เขาทาน มัวแต่ยุ่งอยู่กับการทำให้ตัวเองทานอิ่มก่อนค่อยว่ากัน

เมื่อพวกเราทานเสร็จ สาวๆ โต๊ะข้างๆ ก็ยังไม่เห็นว่าคนที่พวกเธอนั่งนินทาอยู่ตลอดเวลานั้นนั่งอยู่ข้างๆ เธอนี่เอง

ความจริงประเด็นหลักในหัวข้อสนทนาของพวกเธอก็คือฉันคนนี้เอง พูดไปพูดมา มันก็วนเวียนอยู่แค่ที่ฉันนี่แหละ

พวกเธอชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็แกล้งโง่ “อะไรเพราะเหรอคะ?”

“ก็ต้องเป็นคำพูดที่พวกคุณพูดสิที่เพราะ” ฉันมองนาฬิกาแวบหนึ่ง “หนึ่งชั่วโมงครึ่งเต็มๆ ชื่อของฉันที่ออกมาจากปากของพวกคุณอย่างน้อยก็น่าจะมีสักหนึ่งชั่วโมงยี่สิบนาทีล่ะมั้ง ส่วนอีกสิบนาทีก็นินทาเรื่องอื่นๆ ของสามีฉัน”

หน้าของพวกเธอแดงขึ้นมาทันที คงไม่คิดว่าแกะตัวน้อยๆ อย่างฉันจะเป็นฝ่ายโจมตีซะได้

พอเจอกับอะไรที่ไม่คาดคิดก็คงไม่รู้ว่าจะรับมือยังไงเป็นธรรมดา

“ประธานเซียว” พวกเธออ้าปากค้างมองฉัน ไม่ได้มีแค่พวกเธอที่มอง สีชิงชวนเองก็มองฉันอยู่เหมือนกัน

เขาจะดูว่าฉันจะจัดการกับพวกเธอยังไง ถ้าฉันได้ยินพวกเธอนินทาแค่คนเดียว ก็คงจะปล่อยไป ยังไงปากมันก็ปากคนอื่น จะพูดยังไงมันก็เรื่องของพวกเธอ

ตอนนี้ฉันทำได้เพียงใช้วิธีจัดการปัญหาของสีชิงชวนแล้วล่ะ นั่นก็คือใช้ความป่าเถื่อน

ฉันกวาดสายตามองพวกเธอทีละคนๆ ความจริงฉันดูออกว่าคนที่พวกเธอกลัวจริงๆ คือสีชิงชวน ไม่ใช่ฉัน

ในใจพวกเธอก็น่าจะรู้ว่าส่วนใหญ่แล้วฉันจะไม่เด็ดขาดและหยวนๆ ให้กับทุกอย่าง ปล่อยเรื่องนี้ไปแบบนี้ พวกเธอจะแค่รู้สึกอึดอัด ไม่ใช่หวาดกลัว

จริงๆ ฉันก็อยากปล่อยมันไปหรอก แต่การอยู่ภายใต้สายตาดูถูกเหยียดหยามของสีชิงชวนเนี่ย มันช่างกระตุ้นพลังการต่อสู้ของฉันได้ดีจริงๆ

เดาว่าหน้าตาฉันก็คงบึ้งตึงมากเหมือนกัน ฉันมองพวกเธอเงียบๆ “ในเมื่อพวกคุณชอบพูดขนาดนั้น ก็ไปพูดในตำแหน่งที่เหมาะกับพวกคุณมากกว่าดีกว่านะ โรงงานในเครือเซียวซื่อกรุ๊ปของเรามีพนักงานบางส่วนลาออกไปแล้ว พวกคุณก็ไปทำแทนแล้วกัน!”

“ประธานเซียว คุณว่าไงนะคะ?”

“ฉันบอกว่าที่นั่นมีเครื่องจักรเยอะ พวกคุณก็ไปเป็นพนักงานแท่นกลึงแล้วกัน จะได้พูดกับเครื่องจักรได้แบบเต็มที่”

ในขณะที่พวกเธออึ้งไปก็ยังไม่ลืมโจมตีฉันกลับ “ประธานเซียว ตอนนี้คุณเป็นแค่ผู้จัดการในแผนกหนึ่งเท่านั้นนะคะ ไม่ได้มีอำนาจอะไรพวกนี้หรือเปล่า?”

“อย่าลืมสิ ฉันถือหุ้นสูงสุดในเซียวซื่อกรุ๊ป ฉันมีอำนาจตัดสินใจในทุกการดำเนินธุรกิจของบริษัท นับประสาอะไรกับอีแค่การโยกย้ายบุคลากร”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)