ฉันกลอกตามองท้องฟ้า ฉันไม่ควรถามเขา ฉันเองก็รู้อยู่แล้วว่าเขานั้นไม่ใช่คนที่จะพูดจาดีอะไร
“แต่ทว่า เซียวซือก็น่าสงสารมากจริงๆ พ่อตายจากไปแล้ว ตอนนี้แม่ก็ยังป่วยอีก”
“ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม อย่าเห็นอกเห็นใจคนที่เป็นศัตรูของคุณ” เขากดบริเวณไหล่ของฉัน
“ทำไมคุณถึงพูดว่าเซียวซือคือศัตรูของฉัน?”
“คุณนี่หน้าตาน่ารักแต่ไร้สมอง” เขาถอนหายใจ “ในละครสงคราม คุณไม่น่าจะมีชีวิตรอดเกินสามตอน คุณเหมาะที่อยู่ในละครการเดินทางข้ามเวลา”
“ทำไมกัน?”
“เมื่อคุณเดินทางข้ามเวลาไปแล้ว พวกผู้ชายทั้งหมดก็จะปกป้องคุณไง”
พล็อตเรื่องนี้ค่อนข้างคุ้นเคย ฉันครุ่นคิดอย่างละเอียด “คุณก็ดูละครข้ามกาลเวลาด้วยงั้นเหรอ?”
เขาไม่ตอบคำถามฉัน ยกแขนขึ้นและโอบไหล่ของฉันพลางเดินไปด้านหน้า
“ทำไมคุณถึงแสดงท่าทางโหดร้ายและไร้หัวใจแบบนั้นกับเซียวซือได้ลงคอ?” ฉันล่ะรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
“หลังจากที่หล่อนทำร้ายคุณ”
เหตุผลนี้ช่างหาข้อโต้แย้งได้ยากนัก ฉันควรเชื่อหรือว่าไม่เชื่อดีนะ?
“สีชิงชวน” ฉันเอ่ย “เรื่องมันก็ผ่านไปนานแล้ว ช่างเถอะ ตอนนี้แม่เลี้ยงเป็นแบบนี้ เซียวซือจะต้องดูแลแม่เลี้ยงเพียงคนเดียวและแบกรับเซียวซื่อกรุ๊ปไว้เพียงลำพัง”
“เซียวเซิง” เขาพ่นลมหายใจผ่านจมูก “คุณวางแผนจะปล่อยให้เซียวซื่อกรุ๊ปหลุดหายไปงั้นเหรอ?”
“ตอนนี้เซียวซือก็ยังเป็นประธานของเซียวซื่อกรุ๊ป!”
“หล่อนเข้าไปยังสถานคุมขัง ชื่อเสียงฉาวโฉ่ คุณสามารถรับตำแหน่งประธานคืนมาได้”
“แต่ทว่า” ฉันลังเล “ตอนนี้สถานการณ์ของแม่เลี้ยงเป็นเช่นนี้ อารมณ์ของหล่อนหดหู่มาก ฉันจะไปซ้ำเติมหล่อนได้อย่างไร?”
เขาหยุดนิ่งและสัมผัสใบหน้าของฉัน ฉันไม่รู้ว่ารอยยิ้มของเขาหมายความว่าอย่างไร “เซียวเซิง จะพูดกับคุณอย่างไรดี? คุณเป็นคนจิตใจดีมีศีลธรรมหรือว่าเป็นคนโง่กันแน่?”
โง่ก็โง่สิ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย สรุปว่าเรื่องอะไรที่มันมากเกินไปนั้นฉันไม่สามารถทำได้ก็แล้วกัน
“สีชิงชวน คุณอย่าใจร้ายกันเซียวซือนักเลย อย่างไรเสียก่อนหน้านี้พวกคุณก็เคยรักกัน”
“นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินว่ามีคนขอให้สามีของตนเองนั้นปฏิบัติตัวให้ดีต่ออดีตแฟนสาวของเขา”
“อันที่จริงเซียวซือนั้นรักคุณมาก”
“คุณไม่รักผมเหรอ?”
“เอ่อ” ภายใต้การจ้องมองของเขา ฉับพลันใบหน้าของฉันร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย
ฉันละสายตาและหลบสายตาของเขา “เหอะ เปล่าเสียหน่อย”
“ผมจำได้ว่าวันหนึ่งมีใครบางคนสารภาพรักกับผม”
“เมื่อไรกัน? ไม่มีสักหน่อย” ฉันหลุดออกจากอ้อมแขนของเขา แต่กลับถูกเขาดึงกลับไปเช่นเดิม
เขาโอบรอบเอวของฉันไว้ ฉันต้องพยายามงอหลังเหมือนกับกุ้งตัวหนึ่ง
โอบกอดเขาฉันจะต้องเขย่งปลายเท้า เมื่อฉันมองข้ามไหล่ของสีชิงชวน ฉันเห็นเซียวซือกำลังยืนอยู่บริเวณสุดปลายทางเดิน
เธอยืนอยู่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วยของแม่เลี้ยง จ้องมองพวกเราอยู่ครู่หนึ่ง
ใบหน้าของเธอซีดเผือดเป็นอย่างมาก ซีดขาวราวกับกำแพงของโรงพยาบาล เหมือนโคมไฟสีขาวที่อยู่เหนือศีรษะ เหมือนกระโปรงสีขาวบนตัวของเธอ เหมือนรองเท้าสีขาวขนาดเล็กของฉัน
เหมือนผีผู้หญิงเสียมากกว่า
ผีผู้หญิงที่ตายด้วยความแค้น ไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้เพราะยังไม่ได้ระบายความแค้นของตนเองออกมา
ฉันดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของสีชิงชวนโดยไม่รู้ตัว จากนั้นผลักเขาออก “ที่นี่คือโรงพยาบาลนะ คุณให้เกียรติสถานที่หน่อย”
“ผมสามารถทำได้มากกว่านี้อีก” เขากัดใบหูของฉัน ใบหน้าของเซียวซือนั้นซีดขาวยิ่งกว่าเก่า ความมืดมนในสายตาของเธอนั้นค่อยๆแผ่ขายเป็นวงกว้าง
ฉันกระตุกชายเสื้อของเขา เป็นสัญญาณเตือนว่าเซียวซือกำลังยืนอยู่ด้านหน้า
จากนั้นสีชิงชวนก็เก็บอาการตัวเองเล็กน้อย เขายืดหลังตรงพลางกุมมือฉันไว้
“ไปกัน” เขาโอบไหล่ของฉัน “กลับบ้านเถอะ”
เขายืนยันที่จะลากฉันออกไปท่ามกลางสายตาของเซียวซือที่กำลังน้ำตารินไหล
“ทำอะไรเนี่ย?” เมื่อออกมาจากห้องพักของแม่เลี้ยง ฉันผละออกจากอ้อมแขนของเขา “คุณไม่เห็นเหรอว่าเซียวซือต้องการความช่วยเหลือจากฉัน?”
“คุณจะช่วยอะไรเธอได้? คุณช่วยเธอบอกกับแม่เลี้ยงของคุณงั้นเหรอ แม่เลี้ยงคะ คุณเป็นเนื้องอกในสมองนะคะ แบบนี้งั้นเหรอ? แม้แต่ลูกสาวของตัวหล่อนเองหล่อนยังไม่เชื่อเลย คิดว่าหล่อนจะเชื่อคุณงั้นสิ? หล่อนคงจะตบบ้องหูของคุณสักสองครั้ง”
แม้ว่าสถานการณ์ที่สีชิงชวนกล่าวมานั้นมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมาก แต่ฉันจ้องมองเขาและพยายามแก้ต่าง “ฉันสามารถปกป้องตัวเองได้ แต่เซียวซือต้องการความช่วยเหลือ”
“คุณรู้ไหมว่าบนโลกนี้อะไรน่ากลัวที่สุด?”
“ฉันไม่อยากรู้” เขาจะต้องพูดหลักทฤษฎีกับฉันอย่างแน่นอน
“สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ” เขาไม่สนใจว่าฉันจะฟังหรือไม่ กล่าวด้วยท่าทางบังคับ “คนที่มีจิตใจดีจนไม่มีทัศนคติที่ถูกผิด กระทั่งสูญเสียความเป็นตัวเอง”
ฉันไม่อยากฟัง เขาน่ะโหดร้ายกับเซียวซือมากเกินไป ทำไมเขาถึงไม่เห็นอกเห็นใจหล่อนสักหน่อย?
“สีชิงชวน อย่างไรเสียฉันและเซียวซือต่างก็เติบโตมาภายใต้ชายคาเดียวกัน พ่อของเธอก็ปฏิบัติต่อฉันเหมือนฉันเป็นลูกสาว ฉันจะถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณและต้องการช่วยเหลือเธอ”
ฉับพลันเขาก้มตัวลงและอุ้มฉันขึ้น ฉันรีบคล้องคอเขา “คุณทำอะไร? ปล่อยฉันลงนะ”
“คุณเชื่อฟังผมเถอะ กลับบ้านไปกินข้าวกัน”
เขาเลือดเย็นมาก สถานการณ์ของแฟนเก่าเป็นแบบนี้ เขายังสามารถกินข้าวได้ลง
ฉันถูกสีชิงชวนบังคับให้กลับไปยังบ้านตระกูลสี ก่อนที่จะเริ่มทานอาหาร ฉันยังเป็นกังวล เช่นนั้นจึงโทรศัพท์หาเซียวซือ
เสียงภายในสายโทรศัพท์ของเธออู้อี้เป็นอย่างมาก ฉันถามเธอว่าตอนนี้สถานการณ์ของแม่เลี้ยงเป็นอย่างไรบ้าง สามารถยอมรับความจริงได้หรือยัง?
เซียวซือกล่าวว่าแม่เลี้ยงของเธอยืนกรานที่จะย้ายไปโรงพยาบาลอื่นเพื่อรับการตรวจ กล่าวว่าไม่เชื่อใจหมอของที่นี่
ฉันคิดว่าแบบนั้นก็โอเค ในเมื่อไม่เชื่ออีกทั้งยังเป็นโรคร้ายแรงเช่นนี้ สามารถเปลี่ยนโรงพยาบาลได้
“เซียวเซิง” เสียงของเซียวซือแหบพร่า “ฉันไม่ได้ไปเซียวซื่อกรุ๊ปมาหลายวันแล้ว ฉันต้องไปจัดการธุระที่เซียวซื่อกรุ๊ปสักหน่อย พรุ่งนี้เธอพาแม่ของฉันไปตรวจที่โรงพยาบาลอื่นได้หรือเปล่า?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
สนุกมากเป็นอะไรที่ลุ้นตามตลอดถึงนางเอกจะดูโง่ๆแต่ก็สนุกมากครับชอบแนวนี้มากก...
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...