พ่ายรักเมียในนาม(จบ) นิยาย บท 433

ก่อนไปที่ตึกสำนักทนายความ จิตใจของฉันพร้อมมาก

ในสมองของฉันคิดเรื่องดราม่ามากมาย สีชิงชวนอาจจะไม่ได้คิดที่จะหย่ากับฉันก็ได้ เพียงแค่ทำให้ฉันตายใจ หรือว่าเหมือนกับละครน้ำเน่าอะไรแบบนั้น แบบฉันเซ็นใบหย่ากลับไม่ใช่ใบหย่า

ทว่าเป็นเพียงแค่จินตนาการ ละครน้ำเน่ายังไงก็เป็นละครน้ำเน่าอยู่ดี

ตอนที่ฉันมาถึงสีชิงชวนก็ถึงแล้วเช่นกัน เขานั่งอยู่ที่โซฟาในห้องสำนักงานทนายด้วยท่าทีไขว่ห้างผ่อนคลายสบาย ๆ

ตั้งแต่เมื่อวานฉันก็พบว่าสีชิงชวนได้เปลี่ยนไปเป็นสีชิงชวนเมื่อก่อน ที่เมื่อก่อนดูหน้าเกรงขาม เย็นชา จนกระทั่งไร้อารมณ์

ทนายความนำใบหย่ามาให้ฉันอ่าน ฉันรีบเปิดพลิกดูไปมา ซึ่งเหมือนฉบับก่อนของฉันเลย

ฉันก็บอกแล้วว่าฉันไม่ต้องการทรัพย์สินใด ๆของสีชิงชวนแม้แต่สักบาทเดียว อย่างไรสีชิงชวนก็เป็นนักธุรกิจ เขาก็ไม่ได้มีน้ำใจชดเชยให้กับฉันมากเป็นพิเศษหรอกค่ะ แน่นอนค่ะว่า ต่อให้เขาต้องการให้ ฉันก็รับไว้ไม่ได้ค่ะ

เดิมทีที่ฉันแต่งงานกับสีชิงชวนไม่ใช่เพราะว่าทรัพย์สมบัติ แรกเริ่มเป็นเพราะว่าคุณพ่อ ต่อมาเป็นตัวของฉันเองค่ะ

เพราะว่าตึกสำนักงานทนายความกับตึกสำนักงานกิจการพลเรือนต่างก็มีการทำงานร่วมงาน ทางฝั่งฉันนี้ได้เซ็นใบหย่าเรียบร้อยแล้ว ทนายทางฝั่งนั้นจะพาพวกเราไปดำเนินการที่ศูนย์บริการด้านงานธุรการที่ตึกเดียวกัน

ในใบหย่าสีชิงชวนได้เซ็นชื่อของตัวเองลงไป และฉันก็ได้หยิบปากกาเซ็นชื่อลงไปเช่นกัน ซึ่งช่วงจังหวะเวลานี้ สีชิงชวนไม่ได้พูดอะไรกับฉันสักคำ เขาเอาแต่ก้มหน้ามองโทรศัพท์อยู่ตลอด

ต่อมาทนายความได้พูดขึ้นว่า “ ในเมื่อคุณทั้งสองได้เซ็นใบหย่าตามเงื่อนไขนี้เรียบร้อยแล้ว คงไม่มีเรื่องอื่นที่ต้องการเรียกร้องใช่หรือเปล่าครับ ”

ฉันพยักหน้า สีชิงชวนไม่ได้พูดอะไร ซึ่งถือว่าเป็นการยอมรับในเงื่อนไขนั้นแล้ว

ทนายลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ ในเมื่อท่านทั้งสองไม่มีเรื่องคัดค้านอะไรอีก ถ้างั้นพวกเราไปดำเนินการที่ตึกด้านข้างกันเถอะครับ ”

ดังนั้นฉันกับสีชิงชวนจึงไปที่ช่องดำเนินการเรื่องหย่าร้าง ผ่านไปประมาณ 5 นาที ก็ได้หนังสือหย่าสีแดงสดเล่มนั้นมา

ฉันคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะราบรื่นมากขนาดนี้ ฉันถือใบหย่า เดิมทีอยากจะพูดอะไรหน่อยกับสีชิงชวน ทว่าเขากลับส่งใบหย่าให้กับผู้ช่วยข้างกายเขาและพยักหน้าพูดกับฉันว่า “ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ”

แม้แต่พูดคำว่าลาก่อนฉันก็ไม่ทันได้พูด เขาก็หันหลังเดินจากไป อาจเพราะว่าบางทีวันนั้นฉันพูดทำร้ายเขามากเกินไป คนที่ทั้งฉลาดทั้งมีความรับผิดชอบต่อตนเองอย่างสีชิงชวนวันนั้นฉันกลับปฏิเสธเขา เขาถึงได้กลับมาเป็นเขาในอดีตได้อย่างรวดเร็ว

แบบนี้ก็ดีแล้ว ความสามารถในการรักษาบาดแผลของเขาแข็งแกร่งมาก

บางทีสำหรับเขาแล้วอาจจะไม่ได้เรียกว่าบาดแผล แต่เป็นเพียงรอยขีดข่วนเล็กน้อยก็เป็นได้

ฉันไม่ได้ทำร้ายใคร ฉันควรที่จะมีความสุขถึงจะถูกต้อง ทว่าฉันมองด้านหลังของสีชิงชวน ในใจฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกสูญเสีย ไม่เพียงรู้สึกถึงความสูญเสีย ความผิดหวัง ยังรวมถึงความรู้สึกหมดหวังลึก ๆ ด้วย

แต่ก่อนฉันคิดมาตลอดว่าฉันชอบหนีอีโจว ความจริงแล้วนั่นเป็นเพียงความโหยหาของเด็กสาวในช่วงนั้นเท่านั้นเอง ซึ่งนั้นไม่ใช่ความรัก

ต่อมาฉันคบกับสีชิงชวน ฉันได้ลิ้มลองถึงรสชาติชีวิตที่แตกต่างกันออกไปมากมาย เวลามีความสุขก็สุขมาก เวลาโศกเศร้าก็มีความหมดหวังในส่วนลึก อารมณ์ความรู้สึกสุขทุกข์ปิติยินดีและผิดหวังได้บอกกับฉันว่า นี่แหละคือความรัก

ความรักเป็นสิ่งมหัศจรรย์มาโดยตลอด พบเจอได้แต่แสวงหาไม่ได้

ฉันได้สัมผัสแล้ว ทว่ากลับคว้าเอาไว้ไม่ได้

ต่อไปนี้ฉันไม่รู้ว่าจะรู้สึกยินดีไปรักใครอีกคนแบบนี้อีกหรือเปล่า ซึ่งฉันคิดว่าคือพบเจอได้แต่แสวงหาไม่ได้

ฉันเก็บใบหย่าไว้ในกระเป๋า ยังไม่ทันได้เสียใจ ก็รับสายจากเลขาของเฉียวอี้

ฉันยังพูดไม่จบ เฉียวเจี้ยนฉีก็วางสายไปเลย ต่อมาฉันได้โทรหาเขาอีก เขาก็ปิดเครื่องหนีไปแล้ว

เขาอาจจะกำลังรอขึ้นเครื่อง ทว่าฉันจะไปตามเขาที่สนามบินก็คงไม่ทันหรอก

ฉันพูดได้แค่ว่าเฉียวเจี้ยนฉีคนนี้ไม่มีความทะเยอทะยาน แล้วก็ไม่อยากแย่งทรัพย์สมบัติของตระกูลเฉียวไป

ทว่าเขายังเห็นแก่ตัวอยู่ดี เขารู้ว่าแม่ของเขาเป็นคนแบบนี้ก็เลยไม่อยากรังควานเธอ จากนั้นก็เลยทิ้งความพัวพันความยุ่งเหยิงนี้บินหนีไปไกล

ถ้าเธอบินหนีไปเฉียวอี้จะทำอย่างไร

ฉันรีบมาที่เฉียวซื่อกรุ๊ป ทั้งนอกและในเฉียวซื่อกรุ๊ปวุ่นวายไปหมด

อู๋ซือเหมยขวางเฉียวอี้ ในห้องประชุม ต่อมาเธอได้เรียกรวมผู้บริหารระดับสูงทั้งหมดบีบบังคับให้เฉียวอี้ออกไป

ฉันพบว่าตอนนี้ผู้บริหารระดับสูงเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะมีส่วนเสียเปรียบส่วนใหญ่ให้กับอู๋ซือเหมย อาจจะเห็นเพราะว่าเธอตอนนี้มีหุ้นส่วนอยู่ในกำมือ 50% และไม่ได้เป็นทีมเดียวกันอย่างเห็นได้ชัดเหมือนเมื่อก่อน

โลกใบนี้ช่างสมจริง เฉียวอี้เป็นคนใจกว้างมากกว่าฉัน เธอนั่งอยู่ในตำแหน่งของเธอด้วยท่าทีที่สงบ

ทว่าตอนนี้อู๋ซือเหมยก็เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทด้วย ดังนั้นจะเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะนำตัวเธอออกไป

ความหมายของอู๋ซือเหมยที่ต้องการสื่อก็คือ ถึงแม้ว่าคุณพ่อเฉียวจะไม่ได้ทำพินัยกรรม ทว่าในแง่ของกฎหมายระบุเรื่องมรดกไว้ว่า ลำดับที่ 1 คือคู่สมรสและบุตรชายบุตรสาว ตามหลักเหตุผลแล้วเฉียวอี้จะได้รับส่วนแบ่งมรดกเพียง 25% เท่านั้น

ฉันฟังไม่เข้าใจ เลยเดินเข้าไปถามอู๋ซือเหมยว่า “ ถ้างั้นแบบนี้ ลูกชายเฉียวเจี้ยนอี้ของคุณจะได้รับส่วนแบ่งมรดกที่25% คุณจักต้องนำหุ้นส่วนที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งในมือของคุณออกมานะคะ ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)