ฉันวิ่งเข้าไป เขาชี้ไปที่ชิงช้าตัวนั้น “นั่งนี่สิ”
ฉันนั่งลงบนชิงช้า แกว่งมันไปมาสนุกมาก และยังลดความเก้อเขินของฉันลงไปหน่อยอีกด้วย
ฉันแสร้งทำเป็นเล่นชิงช้า แต่อันที่จริงแล้วสายตาของฉันกำลังจ้องมองไปที่รองเท้าผ้าใบสีขาวหิมะคู่นั้นที่อยู่บนเท้าของหนีอีโจว
เมื่อก่อนหนีอีโจวก็ชอบใส่รองเท้าผ้าใบสีขาว สีขาวหิมะไม่มีรอยเปรอะเปื้อนเลย ฉันสงสัยมากว่าเขามีรองเท้ากี่คู่ ถึงได้รักษาความขาวสะอาดไว้ได้ขนาดนี้
“เซียวเซิง อย่าดื่มกาแฟเลย ดื่มชานมสักแก้วเถอะ ทำให้ท้องอุ่นหน่อย” หนีอีโจวพูดกับฉัน ฉันเงยหน้าขึ้นมา
“อ่า ทำไมฉันต้องทำให้ท้องอุ่นด้วยละคะ? ”
“ตอนนี้คุณโอเคดีไหม? ”
น้ำเสียงเป็นห่วงของหนีอีโจว ทำให้ฉันนิ่งงันไปสามวินาที และตำหนิเฉียวอี้อย่างโกรธเคืองในใจทันที
ยัยคนปากใหญ่อย่างเธอคนนี้ เธอต้องบอกกับหนีอีโจวเรื่องที่เมื่อวานฉันเกือบจมน้ำตายในอ่างอาบน้ำอย่างแน่นอน
ฉันยกมุมปากขึ้น “ฉันไม่เป็นไรค่ะ สบายมาก”
“เรื่องของคุณอาเซียว คุณอย่ากดดันตัวเองมากเกินไปเลย บางทีมันอาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับเรื่องนี้”
ฉันมองไปที่หนีอีโจว “คุณหมายถึงเรื่องที่ฉันไม่ใช่ลูกสาวของพ่อฉันเหรอคะ? ”
“บางที ให้คุณรู้เรื่องนี้เร็วขึ้นหน่อยก็อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร”
ฟังจากน้ำเสียงของหนีอีโจว ดูเหมือนว่าเขาก็รู้เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
“คุณ รู้อยู่แล้วเหรอว่าฉันไม่ใช่ลูกสาวของคุณพ่อของฉัน? ”
เขามองมาที่ดวงตาของฉัน แววตาของเขาเปิดเผยมาก “ผมเคยได้ยินแม่ของผมพูดอยู่ครั้งหนึ่ง คุณแม่ของคุณลังเลมากมาตลอดว่าควรจะบอกความจริงกับคุณดีไหม แต่คุณอาเซียวไม่เห็นด้วย”
ที่แท้ทุกคนก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว มีแค่ฉันที่โง่งมไม่รู้เรื่องอะไรเลย โอ้ ยังมีเฉียวอี้ยัยโง่คนนั้นอีกคน
“งั้นเมื่อวานทำไมคุณถึงยังให้ฉันไปตรวจดีเอ็นเออีก? ”
“ถึงยังไงการได้รู้ด้วยตัวเองก็ดีกว่าการได้ยินจากคำบอกเล่าของคนอื่น”
โอ้ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง เขารู้ รู้มาโดยตลอด
ฉันยังคงสงบนิ่งมากอยู่เหมือนเดิม ชานมของฉันมาเสิร์ฟแล้ว ฉันยกแก้วขึ้นจิบเล็กน้อย
“ไม่อร่อย” ฉันเอ่ย “ขมมาก”
“เซียวเซิง”
“หือ? ” ฉันเงยหน้าจากแก้วชานมขึ้นไปมองเขา “เป็นอะไรไป? ”
“คุณนิ่งเกินไปแล้ว” เขาเอ่ย
“ฉันไม่เข้าใจ”
“เจอเรื่องแบบนี้มา คุณต้องระบายออกมาสิ ต้องร้องไห้ออกมาอย่างหนักหรือไม่ก็เอะอะโวยวายเสียงดัง มันถึงจะขับสารด้านลบพวกนั้นที่หลั่งอยู่ในสมองของคุณออกไปได้”
“ฉันร้องไปแล้ว” ฉันร้องไห้ไปแล้วจริงๆ ร้องกับคุณแม่เฉียว ร้องไห้จนแทบจะขาดน้ำแล้ว
“แต่ต่อหน้าผม คุณก็ยังทนเก็บมันไว้”
งั้นเหรอ? ก็อาจจะใช่
ฉันต้องเก็บมันไว้ เพราะจู่ๆ ระหว่างฉันกับหนีอีโจวก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมากมาย
เมื่อกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากแยกห่างกันไปแปดปี เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มชุดขาวที่เพิ่งจะอายุได้สิบแปดปีเต็มคนนั้นอีกแล้ว และฉันก็ไม่ใช่เด็กสาวที่อายุสิบห้าปีแล้วเหมือนกัน
ฉันแต่งงานแล้ว และถูกสีชิงชวนปีศาจร้ายคนนั้นล่วงละเมิดอย่างไม่เป็นธรรมอยู่บ่อยๆ ฉันถูกแม่เลี้ยงฟ้องร้อง และคุณพ่อที่ฉันเรียกมาตลอดยี่สิบกว่าปีก็ไม่ใช่คุณพ่อแท้ๆ ของฉัน
ชีวิตของฉันมันยุ่งเหยิงอีนุงตุงนังไปหมด จะแก้ก็แก้ไม่ได้
เฉียวอี้ก็จะวิ่งไปบอกกับแม่ของฉันว่าหนีอีโจวเข้าข้างฉัน และในอนาคตเขาอยากแต่งฉันเป็นภรรยาของเขา
ตอนยังเด็กเอะอะโวยวายไปก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อทุกคนโตขึ้นเป็นวัยรุ่น ตอนที่ฉันกับหนีอีโจวต่างก็โง่เขลาไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร และเฉียวอี้ก็ยังคงโง่เขลาล้อพวกเราเล่นทั้งวัน พอฉันมาลองคิดดู ตอนนั้นพวกเราต่างก็เริ่มคิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาแล้ว
เพียงแต่ว่ามันยังน้อยเกินไป ยังเป็นแค่เมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่งที่ฝังอยู่ในใจ ฉันไม่รู้ว่าเมล็ดพันธุ์ของหนีอีโจวแตกหน่อแล้วหรือยัง แต่เมล็ดพันธุ์ของฉันมันหยั่งรากลึก แตกหน่อ และแตกใบเขียวอยู่ในใจของฉันมาโดยตลอด
“เซียวเซิง คุณกำลังฟังอยู่หรือเปล่า? ” เสียงของหนีอีโจวดึงฉันกลับมาจากความคิดที่ยุ่งเหยิง
ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองหนีอีโจว เขากำลังมองมาที่ฉัน “เมื่อกี้ที่ผมพูดกับคุณ คุณได้ยินไหม? ”
“ได้ยินค่ะ” ฉันเอ่ย “คุณบอกว่าผลการตรวจวินิจฉัยของฉันกับคุณพ่อไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการฟ้องร้อง ตอนที่ขึ้นศาลวันจันทร์หน้า ผู้พิพากษาถามอะไรฉันก็ให้ฉันตอบไป คุณสามารถใช้มุมมองที่ฉันเป็นผู้ได้รับมรดกมาสู้คดีได้”
ฉันทวนคำพูดเดิมของหนีอีโจวออกมาอีกครั้ง เขามองมาที่ฉันอย่างตกตะลึงเล็กน้อย
เขาคิดว่าฉันกำลังฟุ้งซ่าน อันที่จริงแล้วฉันก็กำลังฟุ้งซ่านจริงๆ แต่ฉันมีความสามารถที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ในสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย อาจารย์กำลังสอนอยู่บนเวที ส่วนฉันนั่งเหม่อลอยอยู่ด้านล่าง แม้จะไม่ได้พูดคุยและไม่ได้เล่นโทรศัพท์ แต่ความคิดก็ล่องลอยไปไกล
อาจารย์เรียกฉันขึ้นมาและสั่งให้ฉันทวนเนื้อหาที่เขาสอนออกมาอีกครั้ง ฉันพูดเนื้อหาออกมาอย่างแทบจะไม่ขาดตกคำพูดไปเลยแม้แต่คำเดียว
เฉียวอี้บอกว่าฉันเก่งมาก สามารถทำได้สองอย่างในเวลาเดียวกัน
“งั้นคุณมีความเห็นอะไรเกี่ยวกับคดีนี้ไหม คุณสามารถบอกมาได้เช่นกันนะ”
“คุณรู้ความเคลื่อนไหวทางด้านแม่เลี้ยงของฉันไหมคะ? ”
“ตามหลักการแล้วจะไม่ให้ขาดการติดต่อ ผมได้ยินมาว่าแม่เลี้ยงของคุณได้ตามหารูปแบบในการต่อสู้คดีมรดกที่ดีสุดจากทั้งเมือง และจะต้องชนะคดีให้ได้”
“แต่ทนายไห่บอกว่าคุณเป็นทนายที่ดีที่สุดในการต่อสู้คดีฟ้องร้องเรื่องมรดก”
“สำนักงานกฎหมายทุกสำนักจะบอกว่าทนายของตนเองเป็นทนายที่ดีที่สุด” เขายิ้มบางๆ “แต่ผมมั่นใจมาก การฟ้องร้องนี้ของคุณสู้ได้ไม่ยาก”
ฉันไม่เคยกังวล สำหรับผลการฟ้องร้องจะชนะหรือไม่ ฉันก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
สนุกมากเป็นอะไรที่ลุ้นตามตลอดถึงนางเอกจะดูโง่ๆแต่ก็สนุกมากครับชอบแนวนี้มากก...
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...