พ่ายรักเมียในนาม(จบ) นิยาย บท 63

เมื่อคุยเรื่องคดีเสร็จ พวกเราทั้งสองต่างก็เงียบกันไปพักหนึ่ง

ฉันกำลังคิดว่าฉันควรจะขอตัวกลับก่อนดีไหม แต่ฉันก็ยังอยากนั่งกับหนีอีโจวต่อไปอีกสักพัก

หนีอีโจวมีบรรยากาศรอบตัวที่อ่อนโยนมาก เวลาที่ได้อยู่กับเขาจะรู้สึกสบายใจมาก

ไม่เหมือนกับสีชิงชวน เขาเหมือนมีเปลวไฟอยู่บนร่างกาย เข้าไปใกล้เพียงนิดเดียวก็ถูกแผดเผาให้ตายได้

พอฉันดื่มชานมหมดแล้ว ฉันก็สั่งน้ำลิ้นจี่เย็นมากอีกแก้วหนึ่ง เย็นฉ่ำอร่อยมาก

ฉันใช้ช้อนเล็กๆ ควานหาเนื้อลิ้นจี่ที่อยู่ในแก้วขึ้นมากิน และได้ยินหนีอีโจวเอ่ยว่า “เซียวเซิง คุณไม่เหมือนกับตอนเด็กๆ แล้ว”

“อ่า” นึกไม่ถึงเลยว่าฉันจะได้ยินเขาวิจารณ์ฉันแบบนี้ ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองเขาทันที “ฉันหน้าตาไม่เหมือนเดิมเหรอคะ? ”

“เปล่า” เขาส่ายหัว “หน้าตายังเหมือนกับตอนเด็กๆ แต่ตัวตนทั้งหมดของคุณไม่เหมือนเดิม”

“ตรงไหน? ” ฉันงุนงง

“คุณ ไม่ได้เปิดเผยตัวเองมากเท่าตอนเด็กๆ ”

“ฉันโตแล้วไง ไม่ได้โง่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”

“ไม่ใช่แบบนั้น” น้ำเสียงของเขาแทบจะถอนหายใจออกมา “คุณเปลี่ยนไปหลบซ่อนตัวเอง ปิดกั้นตัวเอง เสียใจแต่ก็ไม่ร้องไห้ เศร้าใจแต่ก็ไม่ระบายออกมา เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นถังขยะใบหนึ่ง”

ฉันมองไปที่เขาอย่างตะลึงงัน และหมดเรี่ยวแรงที่จะโต้แย้ง

เฉียวอี้เองก็พูดแบบนี้อยู่บ่อยๆ เหมือนกัน เธอบอกว่าคนอื่นจะเอาสิ่งสกปรกอะไรมาเทใส่ตัวฉัน ฉันก็ยอมรับมันมาทั้งหมด

เป็นไปได้ว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตในตระกูลเซียวของฉัน ฉันมักจะบอกกับตัวเองว่าถ้าไม่อดทนในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็จะทำให้เสียการใหญ่

ตอนที่คุณแม่กำลังจะจากไปแม่แทบจะล้างสมองของฉัน ท่านขอให้ฉันอย่าทำให้คุณพ่อต้องลำบาก

ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ฉันไม่ใช่ลูกสาวของคุณพ่อ ดังนั้นคุณแม่จึงรู้สึกผิดมากๆ ที่พาฉันมาฝากฝังให้คุณพ่อดูแล แต่มันก็ไม่มีทางอื่นแล้ว

ฉันเอามือเท้าคาง ความคิดล่องลอยไปไกลอีกครั้ง

เมื่อโทรศัพท์ของฉันที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้น ความคิดของฉันถึงจะถูกดึงกลับมา

เป็นสายโทรเข้าจากป๋ออวี่ “คุณเซียว คุณสีให้ผมบอกกับคุณว่าคืนนี้มีงานเลี้ยงให้คุณไปกับเขาด้วย ตอนนี้ผมมารับคุณครับ”

“หา? ” ฉันงงงันเล็กน้อย ฉันกับสีชิงชวนแต่งงานกันมากว่าครึ่งปีแล้ว ไม่ว่าจะงานเลี้ยงเล็กๆ หรืองานเลี้ยงใหญ่เขาก็ไม่เคยพาฉันไปด้วยเลย นอกเสียจากครั้งก่อนที่คุณย่าดึงดันให้ฉันไป ครั้งนี้เขาจะเล่นลูกไม้อะไรอีก?

“ผมจะไปถึงในอีกสิบนาที คุณรอผมอยู่หน้าประตูก็พอครับ”

“ทำไม...”

“วางสายแล้วนะครับ” ป๋ออวี่วางสายไปเสียดื้อๆ

ฉันดูนาฬิกา เพิ่งจะสี่โมงเย็นนิดๆ จะไปงานเลี้ยงเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?

หนีอีโจวมองมาที่ฉัน “มีธุระต้องไปทำเหรอครับ? ”

“อ่า ใช่ค่ะ” ฉันมองไปที่เขาด้วยรอยยิ้มอย่างเคลิบเคลิ้ม “อาจจะต้องไปแล้ว”

“ใครโทรหาคุณ สีชิงชวนเหรอ? ”

“ผู้ช่วยของเขา” ฉันหยิบน้ำลิ้นจี่เย็นที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นดื่มจนหมด ความเย็นทำให้ฉันตัวสั่น จากนั้นฉันก็ลุกขึ้นยืน “งั้น ฉันขอตัวก่อนนะคะ”

ฉันรีบเดินไปที่ประตู เมื่อผลักประตูเปิดออกไปจึงนึกขึ้นได้ว่าแม้แต่คำบอกลาฉันก็ยังไม่ได้พูดกับเขาเลยด้วยซ้ำ

ฉันเพิ่งจะเดินออกประตูมา ป๋ออวี่ก็ขับรถมาแล้ว เขาลงจากรถมาเปิดประตูรถด้านหลัง และรอให้ฉันขึ้นรถไปอย่างสุภาพเรียบร้อย

ก่อนที่จะขึ้นรถฉันยังอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองอีกครั้ง หนีอีโจวกำลังมองมาที่ฉันโดยมีหน้าต่างกระจกกั้นเอาไว้ ฉันนึกถึงบทพูดที่เกินจริงประโยคหนึ่ง ระหว่างพวกเราเหมือนมีภูเขาและแม่น้ำมากมายมาขวางกั้นเอาไว้

“คุณเซียวครับ พวกเราต้องไปทำสปาก่อน รีบหน่อยครับ” ป๋ออวี่เอ่ยเร่งฉันอย่างสุภาพ

ฉันจึงได้แต่เดินขึ้นรถไป เขานั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ ส่วนฉันนั่งอยู่ที่ท้ายรถอันกว้างขวางเพียงลำพัง

สุภาษิตกล่าวไว้ว่าไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ฉันแต่งหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า และป๋ออวี่ยังได้เอากล่องเครื่องประดับและรองเท้าส้นสูงมาให้อีกด้วย หลังจากที่ฉันสวมใส่มันช่างแต่งหน้าก็เอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ

“คุณนายสี คุณสวยมากเลยค่ะ”

สวยเหรอ? ฉันมองตัวเองในกระจก

มันสามารถใช้คำว่าเต็มไปด้วยเครื่องประดับที่สวยหรูมาบรรยายได้เลย แต่ฉันไม่ค่อยชอบให้บนตัวของตัวเองประดับประดาเครื่องประดับสวยหรูมากเกินไป มันเหมือนมีหน้ากากมาครอบอยู่บนใบหน้าของฉัน

ฉันกับป๋ออวี่เดินออกจากร้าน เมื่อเทียบกับหน้าตามอมแมมก่อนหน้านี้แล้ว ฉันแตกต่างจากเดิมราวกับเป็นคนละคนกัน

ป๋ออวี่ช่วยเปิดประตูรถให้ฉัน วันนี้เขาว่างขนาดนี้เลย ตอนที่ฉันทำสปาแต่งหน้า เขาก็อยู่ด้วยทุกขั้นตอน

“คุณเซียว งานเลี้ยงในวันนี้ถือเป็นงานเลี้ยงภายในครอบครัว แขกล้วนเป็นคนในครอบครัวของนายท่านหูและบรรดาเพื่อนสนิท ลูกชายของนายท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่คนหนึ่งของประเทศไทย มีภูมิหลังทางด้านครอบครัวเป็นอย่างมาก แต่คุณไม่ต้องเครียดไปนะครับ” น้ำเสียงของป๋ออวี่อ่อนโยนมาก เสียงที่พูดออกมาไพเราะมาก

ฉันยิ้มให้เขาอย่างซาบซึ้งใจ “เมื่อกี้นี้ขอบคุณนะคะที่คุณช่วยกู้หน้าให้ฉัน”

“คุณหมายถึงที่ช่างแต่งหน้าคนนั้นเสนอขายของใช่ไหมครับ? พวกเธอเป็นพวกตาต่ำ แค่เอ่ยคำพูดหวานๆ ล่อใจพวกเธอก็จะนอบน้อมกับคุณแล้ว หลังจากนี้ไปก็ไม่ต้องไปสนใจคนแบบนี้อีก แค่ใช้เงินทุบพวกเขาไปก็พอแล้ว”

เขาพูดจาพาลมาก ปัญหาคือฉันมีเงินไปทุบคนอื่นที่ไหนกัน?

ขนาดวันนี้จะซื้อเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้ายังต้องอับอายขายหน้าเพราะไม่มีเงินจ่ายอยู่เลย

ฉันไม่ได้ถามเขาว่าสีชิงชวนอยู่ที่ไหน เพราะถึงยังไงอีกไม่กี่สิบนาทีนี้ฉันก็เจอเขาแล้ว

เขารอฉันอยู่ที่ประตูใหญ่ของตระกูลหู เขาสูงจนหัวเกือบจะชนกับกันสาดที่ยื่นออกมาจากประตูเหล็กบานใหญ่แล้ว บนกำแพงที่อยู่ด้านข้างของประตูเหล็กบานใหญ่ถูกปกคลุมเต็มไปด้วยไม้เลื้อย ตอนกลางคืนเมื่อมองไปแล้วจะดูเหมือนแผ่นสีดำขนาดใหญ่

สีชิงชวนจะยืนอยู่ตรงไหนก็จะเกิดเงาสะท้อนขึ้นที่ด้านหลัง ดูไปแล้วน่าสะพรึงกลัวมาก

เมื่อเห็นสีชิงชวนท้ายทอยของฉันก็รู้สึกเย็นขึ้นมา ท่าทางการเดินบนรองเท้าส้นสูงก็ดูแย่มาก

เขาจ้องมาที่ฉันตลอดเวลา เมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้เขา เขาก็ก้มหน้าลงมองเท้าของฉัน “คุณขาเป๋ไปแล้วเหรอ? ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)