“น้ำค้างขอโทษแทนน้ำหนาวด้วยนะคะ เจ้าชายซารีฟร์คะ น้ำค้างอยากมีพี่ชายที่ใจดีเหมือนเจ้าชาย ถ้าหากไม่อาจเอื้อมเกินไป รับน้ำค้างเป็นน้องสาวสักคนได้มั้ยคะ”
นาราพรรณยิ้มเจื่อนให้เจ้าชายซารีฟร์โดยไม่ลืมเอ่ยขอโทษและในตอนท้ายก็ได้เอ่ยร้องขอเสียงแผ่วเบาระคนหวาดหวั่นเกรงว่าจะเป็นการบังอาจเกินไป
เจ้าชายซารีฟร์คลี่ยิ้มอบอุ่นให้สาวน้อยที่ตนเองนึกเอ็นดูและอยากมีน้องสาวที่น่ารักเช่นน้ำค้างเหมือนกัน มือใหญ่เอื้อมไปแตะเบาๆ บนกระหม่อมที่ปกคลุมด้วยเส้นผมนุ่มสลวยจากนั้นก็เอ่ยตอบรับเสียงทุ้มอ่อนโยนทำให้น้ำค้างแย้มยิ้มกว้างออกมาได้
“เรารับเจ้าเป็นน้องสาวแห่งราชวงศ์อัลนูรีนด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง”
“น้ำค้าง...เราโกรธตัวแล้วน่ะ”
นาราภัทรตะโกนเรียกอีกครั้งคราวนี้น้ำเสียงสั่นเครือยิ่งกว่ารอบแรกจากนั้นก็เอนกายหลบอยู่ข้างตึกเมื่อรับรู้ได้ถึงหยาดน้ำตาอุ่นที่เกลือกกลิ้งเอ่อคลอเบ้าจนทำให้ร้อนผ่าวไปทั่วดวงตา
“ขอบคุณเจ้าชายมากค่ะที่รับน้ำค้างเป็นน้องสาว เอาไว้วันหลังน้ำค้างจะทำอาหารต้อนรับพี่ชายคนนี้นะคะ”
น้ำค้างยิ้มแป้นด้วยความดีใจเอ่ยขอบคุณรัวเร็วอีกครั้งก่อนจะเดินเป็นวิ่งตรงดิ่งไปหาแฝดพี่ซึ่งตอนนี้ไม่ได้ยืนรออยู่หน้าตึกอีกแล้ว หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อวิ่งขึ้นมาบนตัวอาคารแล้วเห็นแฝดพี่ยืนเอนกายพิงกับผนังอาคารอยู่และเมื่อได้เห็นดวงตาคู่สวยแดงก่ำมีน้ำตาเอ่อคลอเบ้าก็มีอันต้องตกใจรีบเข้าไปประคองแก้มเนียนแดงปลั่งของพี่สาวไว้แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“น้ำหนาว ร้องไห้ทำไม โกรธเราหรือ เราขอโทษน่ะ”
นาราภัทรส่ายหน้าช้าๆ ดวงตาคู่สวยยังคงมีน้ำตาหล่อเลี้ยง เธอกลืนก้อนสะอื้นลงคอได้อย่างยากลำบากก่อนจะเอ่ยตอบเสียงสั่นเทา
“เราไม่โกรธน้ำค้าง”
“แล้วตัวโกรธใคร” น้ำค้างเอ่ยถามอีกครั้งพอนึกได้ว่าตัวต้นเหตุเป็นใครจึงกระซิบถามเสียงแผ่วเบา “น้ำหนาวโกรธเจ้าชายซารีฟร์ใช่ไหม”
“ไม่ได้โกรธใครทั้งนั้นแหละ ไปเรียนกันเถอะ”
“แน่ใจน่ะว่าตัวไม่ได้โกรธใคร”
น้ำค้างย้ำถามอีกครั้งรู้ว่าพี่สาวแสนสวยซึ่งกำลังยืนร้องไห้น้ำตาคลอเบ้านั้นเอ่ยโกหกแต่เธอก็ยังคงเซ้าซี้กระทู้ถามไม่ได้หยุดหย่อน
“ฮื้อ...ไม่ได้โกรธใคร ไม่ได้โกรธเจ้าชายซารีฟร์ เราก็แค่ผู้หญิงต่ำต้อยดุจธุลีเม็ดทรายที่ถูกคลื่นลมพัดผ่านเข้าไปกระทบผิวกายของเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่ ไหนเลยจะมีสิทธิ์ไปโกรธเคืองให้เจ้าชายแห่งทะเลทรายผู้โอหังได้ระคายเคืองใจ”
นาราภัทรตัดพ้อเสียงเครือจากนั้นก็เดินหนีขึ้นบันไดมุ่งตรงไปยังห้องเรียนแต่เมื่อเดินขึ้นมาถึงที่พักบันไดซึ่งเป็นผนังกระจกหญิงสาวก็ได้หยุดยืนมองทะลุลงไปด้านล่าง เจ้าชายซารีฟร์ยังคงยืนนิ่งขึงอยู่ตรงตำแหน่งเดิมโดยไม่มีทีท่าจะขยับไปไหน หญิงสาวกัดเม้มริมฝีปากแน่นดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยแววเจ็บช้ำ ทำไมเจ้าชายซารีฟร์ต้องคอยตอกย้ำพูดจาถากถางให้เธอรู้สึกไร้ค่าราวกับว่าเธอเป็นผู้หญิงหิวเงินที่เห็นผู้ชายหล่อรวยแล้วต้องวิ่งเข้าใส่เหมือนหญิงสาวคนอื่นๆ ที่เจ้าชายซารีฟร์ได้พบเจอะเจอเสมอมา แต่เจ้าชายหนุ่มจะรู้ไหมว่าเธอไม่ได้เป็นเช่นนั้น ถึงแม้ครอบครัวของเธอกำลังประสบปัญหาเรื่องเงินทองอยู่แต่เธอยังมีสองมือมีมันสมองที่สามารถหาเงินเองได้ สิ่งที่เธอต้องการและคาดหวังว่าจะได้รับจากเจ้าชายซารีฟร์คือหัวใจทั้งสี่แห่งห้องของเจ้าชายหนุ่มซึ่งบัดนี้เธอได้ยอมรับแล้วว่าตนเองนั้นเริ่มมีใจภักให้กับเจ้าชายแห่งทะเลทรายที่ได้มอบจุมพิตหวานฉ่ำให้กับเธอ
นาราภัทรจ้องมองเจ้าชายหนุ่มด้วยสายตาปวดร้าวอยู่อีกครู่หนึ่งจากนั้นก็สะบัดหน้าหนีตัดเจ้าชายแห่งทะเลทรายที่จอมเผด็จการออกไปจากกายใจ
เจ้าชายซารีฟร์รับรู้ได้ถึงกระแสแห่งความรักระคนหมองเศร้าที่ส่งตรงมากระทบใจจึงได้เงยหน้าขึ้นไปยังทิศทางที่มาและก็ได้เห็นแค่เพียงแผ่นหลังเส้นผมนุ่มสลวยดำขลับของนาราภัทรที่ได้เดินหนีไปแล้ว
“พระองค์พะยะค่ะ พระองค์ชอบคุณน้ำหนาวไม่ใช่หรือพะยะค่ะ ทำไมพระองค์ถึงได้เอ่ยวาจาให้คุณน้ำหนาวต้องเจ็บช้ำใจด้วย”
ราชิตขยับกายเข้ามาใกล้เจ้าชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาให้คลายอาการสงสัยและในตอนท้ายน้ำเสียงออกจะติดหวั่งเกรงอยู่บ้างด้วยกลัวว่าจะเป็นการตั้งคำถามให้เจ้าเหนือได้ขัดเคืองใจ
“ไม่จำเป็นต้องเอ่ยเป็นวาจาเจ้าก็รู้ว่าเราชอบน้ำหนาวถึงขั้นแรกว่ารักก็ได้”
เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยตอบก่อนจะเดินตรงไปยังอาคารเรียนที่อยู่ถัดไปอีก 2 ช่วงตึกซึ่งอีกไม่ถึง 20 นาที ก็ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว
ราชิตเดินเป็นวิ่งตามเจ้าเหนือหัวแล้วเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง “แล้วทำไมพระองค์ไม่บอกให้คุณน้ำหนาวรู้ว่าพระองค์รักเธอ”
เจ้าชายองค์รองแห่งแผ่นผืนทะเลทรายหยุดเดินแล้วหันมามององครักษ์ราชิตด้วยแววตาหม่นหมองก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“บอกไปแล้วเจ้าคิดว่าน้ำหนาวจะเชื่อหรือ ถ้าหากคนที่เพิ่งพบกันแค่ไม่กี่วันจู่ๆ ก็เข้าไปบอกว่าเธอคือหญิงสาวที่เรารอคอยมาทั้งชีวิต เป็นคนที่จะเติมเต็มให้ชีวิตของเราได้สมบูรณ์สุขตลอดทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ นอกจากจะไม่เชื่อแล้ว
น้ำหนาวคงได้หัวเราะเยาะด้วยความขบขำ”
“แต่ถ้าหากพระองค์ไม่เอ่ยบอก คุณน้ำหนาวจะรับรู้ความในใจของพระองค์หรือพะยะค่ะ”
“น้ำหนาวน่าจะรับรู้บ้างว่าการที่เราตามจีบเธอนั้นเป็นเพราะว่ารักต้องใจภักตัวต่อเธอต้องการครอบครองหัวใจทั้งสี่แห่งห้องมิใจต้องการแค่เพียงเรือนกายของเธอแค่เพียงอย่างเดียว”
“โธ่...พระองค์พะยะค่ะ แค่การกระทำการแสดงออกสื่ออารมณ์บางทีก็ไม่เพียงพอสำหรับผู้หญิงบางคน พวกเธอเหล่านั้นต้องการได้ยินคำว่ารักที่เอื้อนเป็นวาจาออกมาเสียมากกว่า”
“ไม่ล่ะราชิตขอบใจ เจ้าก็น่าจะรู้ว่าช่วงนี้เราไม่มีอารมณ์อ่านหนังสือเล่มไหนทั้งนั้น”
เจ้าชายซารีฟร์โบกมือว่อนพลางยกนาฬิกาข้อมือเรือนแพงขึ้นมองเมื่อเห็นว่าจวนถึงเวลาเข้าเรียนแล้วจึงได้เอ่ยตัดบทพักเรื่องหนักอึ้งหัวใจเอาไว้ก่อนเพื่อมุ่งสมาธิไปที่การเรียนแค่เพียงอย่างเดียว
“เราจะเข้าเรียนแล้ว วันนี้เจ้ากับอาดิลไม่ต้องรอเราก็ได้ เดี๋ยวเรากลับเอง”
“ไม่ได้พะยะค่ะ กระหม่อมกับอาดิลละทิ้งหน้าที่ไม่ได้”
ราชิตปฏิเสธรัวเร็วต่อให้ถูกไล่กลับเขาและอาดิลก็ไม่สามารถละทิ้งหน้าที่การอารักขาเจ้าชายองค์รองแห่งอัลนูรีนได้ ภารกิจที่ต้องปฏิบัติทุกวันนับตั้งแต่เจ้าชายซารีฟร์มาศึกษาต่อที่บอสตันคือการมาอารักขาเจ้าชายหนุ่มถึงที่มหา’ลัย
รอจนกระทั่งเจ้าชายเลิกเรียนแล้วก็กลับห้องชุด อาจจะมองดูว่าเป็นการอารักขาที่เว่อร์เกินไป แต่ถ้าหากใครเคยโดนลอบสังหารลอบทำร้ายนับครั้งไม่ถ้วนอย่างเจ้าชายแห่งราชวงศ์อัลนูรีนก็จะรู้ว่าการอารักขาเพียงแค่นี้ออกจะหละหลอมเกินไปด้วยซ้ำ และที่สำคัญเจ้าชายฮารีฟร์ได้ออกคำสั่งเข้มให้อารักขาความปลอดภัยอนุชาของพระองค์ให้ดีที่สุดเนื่องจากมีข่าวกรองแจ้งว่าเจ้าชายชารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ อนุชาองค์เล็กที่ห่างเหินกันมานานนับยี่สิบปีได้ส่งกองกำลังเตรียมเข้าประชิดเมืองหลวงในเร็วๆ วันนี้
“เอาเถอะ ถ้าอยากอยู่รอเราเหมือนทุกวันเราก็ไม่ขัดพวกเจ้าแล้ว”
เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยออกมาอย่างยอมแพ้ ดีที่อาดิลกำลังขับรถวนหาที่จอดภายในมหา’ลัย ไม่งั้นคงมีเสียงขัดค้านเพิ่มมาอีกหนึ่งเสียง
“พระองค์พะยะค่ะ คืนนี้พระองค์จะไปที่ The Long Night Pub หรือเปล่าพะยะค่ะ”
ราชิตเปล่งเสียงถามฉุดรั้งให้เจ้าเหนือหัวที่กำลังจะก้าวขึ้นไปตามบันไดอาคารเรียนต้องชะงักงันที่บันไดขั้นแรกจากนั้นก็หันหลังมาเอ่ยเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึก
“ไม่!...เราไม่ไป”
“ทำไมพะยะค่ะ”
“เราอยากรู้ว่าถ้าหากเราไม่ไปพบเธอเลย น้ำหนาวจะคิดถึงเฝ้ารอคอยเราบ้างหรือเปล่า”
เอ่ยตอบให้องครักษ์ได้อ้าปากค้างกับคำตอบที่ค่อนข้างเย่อหยิ่งเอาแต่ใจเผด็จการดุจดังที่นาราภัทรต่อว่าไว้ก่อนหน้านี้แล้วเจ้าชายซารีฟร์ก็ได้ก้าวยาวๆ ขึ้นไปบนตึกสีหน้าและแววตานั้นเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความรวดร้าวเมื่อนึกถึงอิสตรีที่ต้องใจภักต้องแต่แรกสบตา
“ทำไมต้องการให้เอื้อนเอ่ยคำว่า ‘รัก’ น้ำคำถ้อยวาจานั้นสำคัญมากกว่าการกระทำที่เรามอบให้เจ้างั้นหรือ ทำไมเจ้ามองไม่ออกว่าเรานั้นมีใจรักภักดีต่อเจ้ามากเพียงใด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย