สามวันที่ห่างหาย...สามวันแห่งการรอคอยที่แสนทรมาน
นาราภัทรเหลือบชำเลืองตาไปยังช่องธรณีประตูผับแทบทุก 10 นาที เพื่อคอยมองหาบุรุษหนุ่มชาติอาหรับที่ไม่ได้พบเจอมาหลายวัน ปากบอกว่าไม่โกรธไม่คิดถึงแต่ใจเจ้ากรรมที่ตกเป็นทาสรักของเจ้าชายแห่งทะเลทรายคอยแต่กระหวัดคำนึงถึงเจ้าของเรือนกายกำยำล่ำสันนัยน์ตาคมกริบริมฝีปากสีสดที่มอบความหวานฉ่ำประทับใจในขณะเดียวกันก็ถนัดเอื้อนเอ่ยคำจรรจาให้เธอได้เจ็บปวดทุกคราไป
หญิงสาวถอนหายใจยาวใบหน้างามดวงตากลมโตเผยแววเศร้าหมอง การรอคอยของเธอคงหมดหวังลงแล้วอีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงเวลาที่ผับต้องปิดให้บริการ เจ้าชายซารีฟร์คงเบื่อหน่ายกับการตามตื้อหญิงสาวที่เล่นตัวเหมือนเธอ ระดับเจ้าชายซารีฟร์ผู้หล่อเหลาร่ำรวยมหาศาลมีผู้หญิงเคียงข้างกายปรนเปรอไม่มีว่างเว้นคงไม่จำเป็นต้องมาคอยงอนง้อผู้หญิงหน้าตาจืดชืดให้เสียเวลาอันมีค่า
“น้ำหนาว เธอเป็นอะไรไปวันนี้ฉันเห็นเธอคอยจ้องมองที่ประตูแล้วก็ถอนหายเฮือกๆ แทบตลอดเวลา”
แองจิล่าเอ่ยถามเพื่อนสาวชาวไทยหลังจากที่คอยสังเกตอากัปกิริยาของเพื่อนมาตั้งแต่ผับเปิดจนเกือบจะถึงเวลาปิดให้บริการน้ำหนาวก็ยังคงจับจ้องมองที่ช่องประตูตลอด
นาราภัทรหันมาฝืนยิ้มให้เพื่อนร่วมงานก่อนจะเอ่ยตอบเสียงอ่อน “เราไม่ได้เป็นอะไรหรอกแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“แน่ใจน่ะว่าไม่ได้รอชายหนุ่มหล่อเหลาคนที่มาหาเธอเมื่อไม่กี่วันก่อน”
แองจิล่าเอ่ยแซวสีหน้าทะเล้นโดยหารู้ไม่ว่าน้ำคำของเธอนั้นได้แทงใจดำเพื่อนสาวชาวไทยเอาอย่างจัง
นาราภัทรหน้าถอดสีหลบตาแองจิล่าและเพื่อมิให้เพื่อนสาวต่างชาติจับพิรุธได้จึงแสร้งทำเป็นสาละวนอยู่กับการเก็บขวดเหล้าหลากสีหลากหลายยี่ห้อเอาไปไว้ในตู้โชว์ที่ตั้งอยู่ด้านหลังเคาร์เตอร์บาร์
“เราไม่ได้รอใครหรอกแองจิล่า ก็แค่มองไปรอบๆ ผับสังเกตว่ามีนักท่องราตรีมาเที่ยวมากเหมือนทุกๆ วันหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง”
“เฮ้อ...ไม่ต้องไปสังเกตหรอกน้ำหนาว ผับอีตาพอลมีคนเข้าเยอะเหมือนทุกๆ วันนั่นแหละ ไม่รู้นักเที่ยวพวกนี้ไปหาเงินมาจากที่ไหนถึงมาเที่ยวได้ทุกวันไม่มีเบื่อ”
แองจิล่าบ่นกระปอดประแปดเสียดายเงินนับร้อยๆ ดอลลาร์ที่ถูกเอามาเผาผลาญเล่นให้หมดไปกับน้ำสีอำพันเปลี่ยนนิสัยและควันบุหรี่ที่ลอยคละคลุ้งทั่วผับ
“คนรวยน่ะแองจิล่า ไม่รู้จักหาวิธีพักผ่อนที่สุนทรีย์ไปมากกว่านี้แล้ว คิดได้อย่างเดียวว่าต้องเข้าผับเข้าบาร์หาความสุขสำราญโดยการดื่มเหล้าสูบบุหรี่”
นาราภัทรช่วยเพื่อนเก็บแก้วเหล้าและเช็ดทำความสะอาดเคาร์เตอร์บาร์ ผับจะปิดแล้วนักท่องราตรีที่เมาแอ๋ได้ที่ก็เลิกสั่งเหล้าแล้ว เธอกับแองจิล่าจึงทยอยเก็บขวดเหล้าและเครื่องดื่มอื่นๆ จะได้ไม่เสียเวลาหลังเลิกงานมากและที่สำคัญเธอต้องออกไปให้ทันรถเมล์รอบตีสามด้วยไม่เช่นนั้นแล้วก็ต้องนั่งรอนานเป็นชั่วโมงๆ อีก
“เออ...แองจิล่า วันศุกร์นี้ อีตาพอลได้จ้างให้แองจิล่าไปสืบเหล้าในงานวันเกิดเพื่อนเขาหรือเปล่า”
แองจิล่าแทบทำแก้วเหล้าทรงสูงผลัดตกจากมือเมื่อจู่ๆ ถูกเพื่อนสาวเอ่ยถามเสียงดัง หญิงสาวหลบตาเพื่อนสาวชาวไทยที่กำลังจ้องมองมาจากนั้นก็เอ่ยโกหกเสียงตะกุกตะกัก
“เอ่อ...ไป...จ้ะ พอลเพิ่งมาบอกเราเมื่อวานนี้เอง”
“ค่อยอุ่นใจหน่อยที่มีแองจิล่าไปด้วย เรานึกว่าต้องไปคนเดียวเสียแล้ว” นาราภัทรยิ้มกว้างให้เพื่อนสาวด้วยความจริงใจ รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่งที่มีคนรู้จักไปด้วย
“เห็นอีตาพอลบอกว่าเพื่อนเขาจะส่งรถมารับ เดี๋ยวแองจิล่ามาขึ้นรถที่อพาร์ทเม้นท์ของเราน่ะ”
“ก็ได้จ้ะ” แองจิล่าเอ่ยตอบสั้นๆ ไม่อยากคุยเรื่องนี้สักเท่าไหร่
“เพื่อนอีตาพอลเขาให้ค่าแรงเรา 50 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง แองจิล่าได้เท่ากันไหม”
ที่เอ่ยถามไม่ใช่เพราะกลัวว่าเพื่อนจะได้ค่าแรงมากกว่าตนเอง แต่เพราะอยากรู้ว่าเจ้าของงานจะใจกว้างให้ความยุติธรรมกับคนที่ทำงานกลางคืนเช่นพวกเธอมากเพียงใด
“เอ่อ...เราได้น้อยกว่าน้ำหนาว 10 ดอลลาร์”
แองจิล่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ความรู้สึกผิดเกาะกินอยู่ในใจอยากให้ถึงเวลาผับเลิกสักทีเพื่อว่าเธอจะได้เดินหนีหลีกเลี่ยงคำถามของเพื่อนสาวชาวไทย
“แย่จัง ทำไมเขาให้แองจิล่าน้อยจังเลย น่าจะให้เท่าๆ กันกับเราถึงจะถูก”
สีหน้าของแองจิล่าที่ทำเหมือนจะร้องไห้ด้วยความรู้สึกผิดทำให้นาราภัทรเข้าใจผิดไปอีกทางคิดว่าเพื่อนสาวเสียใจเพราะได้รับค่าแรงที่น้อยกว่าตนเอง แต่สิ่งที่หญิงสาวคิดนั้นได้ผิดพลาดหาเป็นเช่นดังที่เธอคิดไว้ไม่!...
แองจิล่าเหลือบสายตามองนาฬิกาที่ติดไว้บนฝาผนังเห็นว่าถึงเวลาเลิกงานแล้วก็รีบเร่งคว้ากระเป๋าใบเล็กกับเสื้อคลุมแล้วเอ่ยลาเพื่อนร่วมงานอย่างรวดเร็ว
“เลิกงานแล้วเราไปก่อนน่ะน้ำหนาว”
“แองจิล่า...”
นาราภัทรตะโกนเรียกเพื่อนสาวแต่ไม่ทันแล้วเพราะอีกฝ่ายรีบจ้ำอ้าวออกไปจากผับอย่างรวดเร็วโดยไม่เหลียวหลังมองใคร
“จะรีบไปไหนของเขาน่ะ”
“ราชิต อาดิล เราไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ น่ะ ที่ต้องให้พวกเจ้าคอยอารักขาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พวกเจ้าก็รู้ว่าเราเรียนรู้ศิลปะการป้องกันตัวมาทุกชนิดทุกประเภท เราสามารถเอาตัวรอดได้ พวกเจ้าไม่ต้องห่วงหรอก”
เจ้าชายองค์รองแห่งทะเลทรายเอ่ยค้านองครักษ์บ้าง การถูกลอบทำร้ายแทบตลอดเวลานับตั้งแต่ได้ถือกำเนิดเป็นเจ้าชายในราชวงศ์ อัล ริฟาอีลส์ ราชวงศ์ที่กุมแผ่นผืนทะเลทรายที่มีทรัพยากรแร่ธรรมชาติคือน้ำมันดิบซึ่งมีมูลค่านับร้อยล้านทำให้ชีวิตของเจ้าชายแห่งอัลนูรีนทั้งองค์โตและองค์รองถูกลอบทำร้ายปลงพระชนม์จากผู้ที่เป็นสายเลือดเดียวกันและจากผู้อื่นที่หมายปองจะเข้ามาครอบครองแผ่นดินที่มีค่ามากกว่าทองคำ เพราะฉะนั้นเจ้าชายทั้งสองพระองค์จึงถูกส่งให้ไปเรียนศิลปะการป้องกันตัวทุกประเภทรวมถึงการเรียนรู้ที่จะใช้อาวุธทั้งมีดและปืนเพื่อป้องกันตัวเองด้วย
“แต่...พระองค์พะยะค่ะ”
“นี่คือคำสั่ง พวกเจ้าห้ามตามเราไปบนรถเมล์” เจ้าชายซารีฟร์ถลึงตาตีหน้าบึ้งใส่เมื่ออาดิลอ้าปากกำลังจะเอ่ยค้านขัดคำสั่งอีกคน
“ถ้าไม่ให้ตามไปอารักขาบนรถเมล์ พวกกระหม่อมขอขับรถตามไปห่างๆ พะยะค่ะ”
ใช่ว่าจะมีแค่เจ้าชายองค์รองแห่งทะเลทรายเท่านั้นที่เป็นผู้ดื้อด้านรั้นหัวชนฝาองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ภักดีทั้งสองก็ดื้อด้านไม่แพ้ผู้เป็นนาย
“ตกลงจะตามไปให้ได้ใช่มั้ย” เจ้าชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงอ่อนยอมแพ้ในความจงรักภักดีและการทำหน้าที่อารักขาโดยไม่มีขาดตกบกพร่อง
“พะยะค่ะ” ราชิตกับอาดิลยิ้มกว้างโค้งคำนับให้เจ้าชายผู้หล่อเหลาก่อนจะเอ่ยตอบรับคำพร้อมๆ กัน
“พวกเจ้านี่ดื้อด้านเป็นที่หนึ่ง”
เจ้าชายซารีฟร์ส่ายหน้าช้าๆ อย่างยอมแพ้พร้อมกันนั้นก็ต่อว่าด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความขอบอกขอบใจระคนหมั่นไส้องครักษ์ทั้งสองที่ต่างก็ยิ้มแป้นรอรับคำต่อว่า และเมื่อรถเมล์วิ่งเข้ามาใกล้ป้ายรถทุกขณะก่อนจะจอดนิ่งเทียบท่าป้ายที่ตนเองยืนอยู่เจ้าชายซารีฟร์ก็แย้มยิ้มออกมาได้ในที่สุดเมื่อเห็นหญิงงามที่รอคอยมานานได้นั่งคอพับอยู่ภายในรถเมล์
นาราภัทรยังคงหลับตานิ่งเอนศีรษะพิงพนักเก้าอี้และขยับตัวเล็กน้อยตามสัญชาตญาณเมื่อรับรู้ว่ามีผู้โดยสารคนอื่นได้ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัวที่ยังคงว่างอยู่
เจ้าชายซารีฟร์ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ติดกับนาราภัทรพร้อมกับลอบสังเกตสีหน้าของหญิงงามที่ใจภักด้วยแววตารักใคร่ระคนเป็นห่วงเมื่อได้เห็นกริยาท่าทางที่บ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า
“เหนื่อยมากเลยหรือน้ำหนาว”
มือใหญ่ร้อนผ่าวเอื้อมไปลูบไล้แผ่วเบาตรงแก้มเนียนแดงปลั่งพร้อมกับเอ่ยถามเสียงทุ้มนุ่มนวลเต็มไปด้วยความห่วงใย
“เจ้าชายซารีฟร์...”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย