“ทำไมล่ะแองจิล่า หรือว่าประหม่าที่ต้องดูแลแขกไฮโซทั้งหลาย”
นาราภัทรเอ่ยถามยิ้มๆ หยิบชุดทำงานออกมาจากถุงพลาสติกสีเทาแล้วก็แย้มยิ้มอย่างพึงพอใจระคนโล่งอกเมื่อได้เห็นเสื้อแขนยาวรัดรูปสีแดงเพลิงกับกางเกงขายาวสีดำสนิทดุจราตรีกาล ถึงแม้ตัวเสื้อจะเปิดเปลือยให้เห็นตรงช่วงเอวคอดกิ่วเล็กน้อยแต่ก็ยังดีกว่าให้ใส่เสื้อแขนกุดทำงาน
“ฉันน่ะอยากโยนชุดทำงานบ้าๆ พวกนี้ทิ้งแล้วแต่งตัวสวยๆ ออกไปร่วมงานเลี้ยงเผื่อว่าฉันจะจับผู้ชายหล่อๆ รวยๆ ได้สักคน”
แองจิล่าหยิบเสื้อผ้าออกมาจากถุงพลาสติกแล้วสวมใส่อย่างกระแทกระทั้น นึกโทษชะตาชีวิตทำไมไม่ส่งให้เธอมาเกิดบนกองเงินกองทองเหมือนคนอื่นจะได้ไม่ต้องทนทำงานที่ได้เศษเงินแค่ไม่กี่ดอลลาร์เพื่อประทังชีวิตให้ผ่านพ้นไปวันๆ
“เลิกเฝ้อฝันได้แล้วแองจิล่า รีบแต่งตัวเข้าเถอะจะได้ออกไปเตรียมเครื่องดื่มป่านนี้แขกคงทยอยเข้ามาในงานเลี้ยงแล้วล่ะมั้ง”
นาราภัทรสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าที่สวมใส่จากนั้นก็แต่งหน้าอ่อนๆ รวบเส้นผมที่ยาวดำขลับนุ่มสลวยให้รัดตึงไม่ให้หลุดรุ่ยร่ายสร้างความรำคาญขณะทำงาน พอแองจิล่าแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็พยักหน้าชวนให้อีกฝ่ายที่ยังทำท่าอิดออดได้เดินออกจากห้องแต่งตัว
“ไปกันได้แล้วแองจิล่า”
พอลกับทอมสันเศรษฐีร้อยล้านเจ้าของงานพากันยืนอยู่บนชั้นลอยชั้นสองของคฤหาสน์หลังงาม ในมือถือไวน์แดงราคาแพงคนละแก้วเอาไว้จิบสร้างความสำราญขณะยืนมองเหยื่อสาวแสนสวยที่จะตกเป็นอาหารโอชะมือวิเศษในค่ำคืนนี้
“คนที่ยืนใกล้ๆ นังแองจิล่านั่นไงที่ชื่อน้ำหนาว”
พอลพยักพเยิดบุ้ยปากให้เพื่อนเศรษฐีได้มองไปยังหญิงสาวชาวไทยแสนสวยที่กำลังสาละวนอยู่กับการจัดเรียงแก้วแชมเปญให้เป็นรูปสามเหลี่ยมทรงสูงก่อนจะเทแชมเปญลงไปช้าๆ ให้น้ำอำพันสีอ่อนราคาแพงไหลรินจนเต็มทุกแก้ว
“ไม่เลวเลยพอล สาวเอเชียนี่น่ากินน่าฟัดไปทั้งตัว”
ทอมสันยกไวน์แดงขึ้นจิบทอดมองหญิงสาวที่กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาด้วยสายตาหื่นกระหาย แค่ได้เห็นผิวกายขาวผ่องยองใยตรงบริเวณเอวคอดกิ่วก็ทำให้เลือดในกายความต้องการแล่นพล่านเต้นตุบๆ อยู่ตรงแก่นกายกลางลำตัว
พอลหัวเราะร่วนเมื่อเหลือบเห็นแววตาหื่นกระหายอาการเต้นตุบๆ เด่นผงาดของอาวุธสำคัญที่ทอมสันปกปิดระงับไว้ไม่อยู่
“อย่าลืมส่วนแบ่งของเราล่ะทอมสัน”
“ไม่ลืม...ขอให้หญิงเอเซียคนนี้สะอาดสดจริง นายก็จะได้รับเงินก้อนโตแถมท้ายด้วยตัวหญิงคนนี้หลังจากที่เราอิ่มหน่ำสำราญแล้ว”
ทอมสันกระดกไวน์แดงที่เหลือครึ่งแก้วรวดเดียวเข้าลำคอจากนั้นก็หัวเราะร่วนอยากร่นเวลาให้ถึงช่วงพิเศษสำหรับการกินอาหารอันโอชะเร็วไว
“การันตีความสดสะอาดเลยทอม อีนังนี่มันหวงตัวจะตายไป เราแกล้งแตะนิดแตะหน่อยก็มองเราตาขวางเขียวปัด มีลูกค้าเราคนหนึ่งลองทาบทับขอซื้อตัวก็ถูกอีนังน้ำหนาวตบเสียเลือดกบปาก”
“ฮ่ะ...ฮ่ะ...นี่สิดี ถ้าชอบความรุนแรงเดี๋ยวเราจะสนองให้เต็มที่”
ทอมสันรับไวน์มาจากลูกน้องที่รินมาให้อีกครึ่งแก้วแล้วกระดกเข้าปากรวดเดียวจบเหมือนรอบแรกก่อนจะเอ่ยถามถึงแผนที่ได้วางไว้
“นายเตรียมยาไว้เรียบร้อยหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้ว งานเลี้ยงจบเมื่อไหร่เราได้สนุกกับอีนังน้ำหนาวจนสว่างคาตาแน่”
พอลเอ่ยตอบเสียงตื่นเต้นกระสันอยากทำกิจกรรมพิเศษแทบทันทีโดยไม่ต้องรอให้ถึงเวลาเลิกงานเลี้ยง
“กำชับเด็กของนายให้ทำงานดีๆ อย่าให้ผิดพลาดแล้วก็อย่าทำอะไรกระโตกกระตากให้ไก่รู้ตัวก่อนล่ะ”
ทอมสันย้ำคำเสียงแข็ง ตัวเขาเองก็อยากเล่นเกมส์สวาทที่มักจะทำเช่นนี้เป็นประจำทุกครั้งที่มีการจัดงานเลี้ยง
“รับรองไม่พลาดแน่นอน” พอลหัวเราะร่วนหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์ไวน์ที่สาดลงคอไปเกือบสิบแก้วแล้ว “ลงไปต้อนรับแขกกันเถอะ แขกเริ่มทยอยเข้ามาในงานแล้ว”
“บอกตามตรงน่ะพอล อาหารจานโอชะที่รอหลังเลิกงานเป็นสิ่งที่ทำให้เราตื่นเต้นที่สุด”
ทอมสันหัวเราะร่วนหื่นกระหายขณะเดินลงมายังชั้นล่างของคฤหาสน์แล้วตรงดิ่งไปยังมุมเครื่องดื่มเป็นที่แรก เขาอยากยลโฉมสาวงามชัดๆ ด้วยสายตาทั้งคู่ ก่อนที่ค่ำคืนนี้จะใช้มือปากและแก่นกายร้อนผ่าวเป็นตัวแทนในการยลโฉมสาวงามอีกครั้ง
เจ้าชายซารีฟร์ชะลอความเร็วรถลงเมื่อขับตามรถเก๋งที่นาราภัทรนั่งมาจนเกือบถึงทางเข้าคฤหาสน์ เจ้าชายหนุ่มจอดรถชิดข้างทางห่างจากประตูทางเข้าราวๆ 50 เมตรพยายามมองลอดประตูรั้วสังเกตการณ์ว่าภายในกำลังจัดกิจกรรมรื่นเริงอะไรกัน
“เป็นไปได้ไหมราชิตที่น้ำหนาวอาจจะมางานเลี้ยงที่คฤหาสน์หลังนี้”
ขณะที่เอ่ยถามองครักษ์ดวงตาคมกริบของเจ้าชายแห่งแผ่นผืนทะเลทรายได้จับจ้องแน่นิ่งอยู่ที่คฤหาสน์หลังงามซึ่งตั้งเด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้าสายตา ขัดเคืองใจยิ่งนักที่นาราภัทรสานสัมพันธ์กับคนรวยเหล่านี้ ซึ่งถ้าหากเทียบลำดับชั้นความร่ำรวยแล้วตัวเขานั้นรวยกว่าบรรดาเศรษฐีกระจอกเหล่านี้หลายร้อยเท่านัก
องครักษ์ราชิตเพ่งสายตามองไปยังคฤหาสน์ที่เริ่มเปิดดวงไฟหลากสีให้ความสว่างสีสันแสบตาสำหรับงานเลี้ยงที่ทำท่าจะเริ่มในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
“กระหม่อมคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ เจ้าของคฤหาสน์หรือลูกสาวลูกชายใครคนใดคนหนึ่งอาจจะเป็นเพื่อนกับคุณน้ำหนาวก็เป็นไปได้”
“เบื่อที่จะเดาแล้วราชิต เข้าไปหาคำตอบข้างในดีกว่า”
เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยบอกเสียงติดรำคาญเล็กน้อยบิดกุญแจสตาร์ทรถเตรียมเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งที่จอดชิดไหล่ทางแต่ถูกองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์เอ่ยท้วงไว้ก่อน
“ให้กระหม่อมเป็นคนขับรถดีกว่าพะยะค่ะ ขืนให้พระองค์เป็นคนขับรถเข้าไปพวกเด็กรับรถเหล่านั้นคงไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นเจ้าชายแห่งราชวงศ์อัลนูรีน”
“อืม...จริงดังที่เจ้าพูด พวกนั้นคงไม่เชื่อแน่ที่จู่ๆ เจ้าชายแห่งทะเลทรายจะมาขับรถเอง”
ทั้งเจ้าชายซารีฟร์และองครักษ์ราชิตต่างก็เปิดประตูรถด้านที่ตนเองนั่งอยู่แล้วเดินอ้อมตัวรถเพื่อสลับที่นั่งกัน หลังจากนั้นราชิตก็ทำหน้าที่สารถีขับรถคันหรูราคาแพงตามรถคันอื่นๆ ที่ทยอยเคลื่อนตัวเข้าไปในคฤหาสน์
“หาบัตรเชิญให้พวกมันหน่อยสิ”
เจ้าชายหนุ่มยิ้มเยาะหยันขณะเอ่ยบอกองครักษ์เสียงราบเรียบ ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาดวงตาดำสนิทดุจราตรีในคืนเดือนมืดจ้องเขม็งไปยังชายฉกรรจน์สองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูรั้วใหญ่คนละด้านเพื่อคอยตรวจเช็ดบัตรเชิญก่อนที่จะปล่อยให้รถแต่ละคันเข้าไปในบริเวณคฤหาสน์ได้
“เบนจามิน แฟรงคลิน คนละ 3 ใบน่าจะเปิดประตูคฤหาสน์ได้น่ะพะยะค่ะ”
องครักษ์ราชิตเพ่งสายตามองตามคำบอกของเจ้าชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยตอบออกมา “ใช่แล้วพะยะค่ะ มันชื่อพอลเจ้าของ The Long Night Pub พะยะค่ะ”
“เจ้าไปหาข้อมูลเจ้าของคฤหาสน์หน่อยสิว่ามันเป็นใคร เราชักจะสังหรณ์ใจว่ากำลังมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับน้ำหนาว”
“พะยะค่ะ พระองค์รอสักครู่กระหม่อมจะไปสืบหาข้อมูลมาให้พะยะค่ะ”
“เราสงสารเจ้ายิ่งนัก ทำไมเจ้าไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเรา เจ้าจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้”
เจ้าชายซารีฟร์พึมพำออกมาด้วยความสงสารระคนรักใคร่ในตัวหญิงงามที่ตนเองแอบเฝ้ามองโดยไม่วางตา เขารู้ว่าน้ำหนาวเหน็ดเหนื่อยเอามากหญิงสาวยกมือขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดเรียงเม็ดตรงหน้าผากและดวงหน้าเกือบตลอดเวลา
“พวกแกจะไม่ให้น้ำหนาวพักบ้างหรือยังไงจะกินเหล้าไปถึงไหนกัน”
คราวนี้เจ้าชายองค์รองแห่งแผ่นผืนทะเลทรายได้สบถด่านักดื่มทั้งหลายด้วยภาษาอาหรับ พยายามนับหนึ่งถึงสิบบังคับใจตนเองไม่ให้เดินไปอุ้มน้ำหนาวมาไว้ในอ้อมแขนแล้วพากลับบ้านหยุดติการทำหน้าที่เป็นบาร์เทนดี้ในค่ำคืนนี้เสียที
“พระองค์ กระหม่อมได้ข้อมูลเจ้าของคฤหาสน์มาแล้วพะยะค่ะ”
องครักษ์ราชิตกระซิบรายงานหลังจากที่หายไปพักใหญ่เพื่อแอบสอบถามข้อมูลเจ้าของคฤหาสน์จากบรรดาแขกปากพล่อยทั้งหลาย
“ว่ามาสิราชิต”
“พะยะค่ะ เจ้าของงานเลี้ยงชื่อทอมสัน เดวิด ชาร์ เป็นเพื่อนกับไอ้พอลเจ้าของผับ ทอมสันเป็นนักธุรกิจที่กว้างขวางในบอสตันทำธุรกิจค้าขายทุกอย่าง แต่นี่คือฉากบังหน้า ฉากหลังของมันคือนักปั่นหุ้นตัวยง”
“แค่ดูก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่คนดี”
เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยต่อท้าย เจ้าของงานที่เดินทักทายแขกไปทั่วบริเวณรวมถึงเข้ามาทักทายเขาก่อนหน้านี้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทำให้เขาสังเกตเห็นสายตาหลุกหลิกเจ้าเล่ห์ที่อีกฝ่ายปิดไว้ไม่มิด
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่างานจะเลิกเมื่อไหร่”
“คงราวๆ ตี 4 หรือไม่ก็สว่างคาตา เห็นแขกบางคนบอกว่าทอมสันมันมักจะจัดงานเลี้ยงแบบนี้เป็นประจำ”
“อืม...งั้นเจ้าคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของไอ้ 2 คนนี้ไว้ให้ดี ท่าทางไม่น่าไว้วางใจสักเท่าไหร่”
“พระองค์คิดว่าพวกมันกำลังคิดไม่ดีกับคุณน้ำหนาวใช่มั้ยพะยะค่ะ”
ด้วยจับกระแสแห่งความกังวลระคนห่วงใยได้จากน้ำเสียงของเจ้าเหนือหัวทำให้องครักษ์ราชิตต้องเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจและตั้งหลักเตรียมรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
“เราคิดว่าเป็นเช่นนั้นราชิต น้ำหนาวคงเป็นของขวัญวันเกิดที่ไอ้พอลมันจัดหาให้เพื่อนของมัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย