พายุรักแห่งเม็ดทราย นิยาย บท 19

นาราภัทรทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างเหน็ดเหนื่อยไร้เรี่ยวแรง อีตาพอลและอีตาทอมสันใช้แรงงานเธอได้คุ้มค่าเงินจริงๆ ตั้งแต่งานเลี้ยงเริ่มและปิดฉากลงเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเธอเพิ่งมีเวลาได้หยุดหายใจพักเหนื่อย แขกแต่ละคนกินเหล้าต่างน้ำ รินให้เท่าไหร่ก็ดื่มไม่อิ่มสักที

“น้ำหนาว” แองจิล่าสะกิดต้นแขนเพื่อนสาวแล้วยื่นเครื่องดื่มเย็นเจี๊ยบจนไอความเย็นเกาะข้างแก้วมาตรงหน้านาราภัทร

“ดื่มพันซ์สักแก้วสิจะได้ชื่นใจหายเหนื่อยหน่อย”

นาราภัทรสะบัดแขนสะบัดขาไล่อาการเมื่อยขบพลางเหลือบสายตามองพั้นซ์สีแดงสดในแก้วครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ล่ะ เอาเครื่องดื่มของแขกในงานมาดื่มเดี๋ยวก็โดนเจ้าของเขาว่าเอา อีกอย่างเราไม่ค่อยถูกกับแอลกอฮอล์ด้วย”

“เครื่องดื่มแค่แก้วเดียวเขาคงไม่ว่าเราหรอก แขกก็ทยอยกลับจนเกือบหมดแล้วที่เหลืออยู่ก็มีแต่พวกขี้เมา เราบริการพวกเขามาทั้งคืนแล้วถ้าพักเหนื่อยกินน้ำแค่แก้วเดียวไม่ได้ก็ให้มันรู้ไปสิ”

แองจิล่าคะยั้นคะยอติดเสียงห้วนเล็กน้อย เมื่อนาราภัทรไม่ยอมรับแก้วไปถือไว้สักทีเธอก็จับมือบางนุ่มของอีกฝ่ายไว้แล้วยัดแก้วพั้นซ์ลงไปในมือเพื่อนสาว

“ดื่มเถอะ เดี๋ยวพวกเราจะได้ไปรับค่าแรงจากคุณทอมสันแล้วก็ให้ปีเตอร์ส่งกลับเข้าเมือง ฉันอยากไปอาบน้ำพักผ่อนเต็มทีแล้ว”

“ดื่มก็ดื่ม เห็นว่าแองจิล่าเป็นคนชงให้น่ะถึงได้ยอม” นาราภัทรยิ้มบางๆ ให้เพื่อนสาวแล้วดื่มพั้นซ์จนหมดแก้ว

แองจิล่ากลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ ขณะที่ลอบมองน้ำพั้นซ์สีแดงสดค่อยๆ ไหลออกจากแก้วทรงสูงเลื่อนเข้าสู่ปากอวบอิ่มและหายไปในลำคอระหงของเพื่อนสาว เธอยกมือเช็ดปาดเหงื่อเม็ดใหญ่ๆ ที่ผุดออกเต็มหน้าผากและใบหน้าที่เต็มไปกระสีจางๆ

“ร้อนหรือแองจิล่า? เหงื่อออกเต็มหน้าผากเลย”

นาราภัทรเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงพอเห็นอาการลุกลี้ลุกลนของเพื่อนสาวต่างชาติก็เอ่ยถามอีกครั้งด้วยความเข้าใจผิด

“ทำท่าอยู่ไม่เป็นสุขแบบนี้แสดงว่าอยากกลับบ้านแล้วใช่ไหมแองจิล่า”

“ใช่ๆ ไปรับค่าจ้างกับทอมสันเถอะจะได้กลับบ้านกันสักที”

แองจิล่ารีบสมอ้างรับคำพลางลุกขึ้นยืนแล้วฉุดให้เรือนร่างบอบบางของเพื่อนสาวได้ลุกขึ้นบ้าง เธอไม่ได้อยากกลับบ้านจนตัวสั่นเช่นนี้ แต่ที่รีบเร่งเพราะกลัวว่ายาปลุกเซ็กส์ที่เธอแอบใส่ในพั้นซ์ให้คนถามดื่มนั้นจะออกฤทธิ์ก่อนที่เธอจะพานาราภัทรไปส่งถึงปากของทอมสัน

“ถ้างั้นไปกันเถอะ รีบๆ รับค่าจ้างจะได้กลับไปพักผ่อน เราเหนี่อยจนแทบจะพับแล้ว”

นาราภัทรยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์ให้เพื่อนสาวโดยหารู้ไม่ว่าแองจิล่านั้นได้ทรยศหักหลังตนเองทำหน้าที่เป็นนางนกต่อส่งเธอเข้าปากคนชั่วอย่างทอมสัน

“พระองค์พะยะค่ะ คุณน้ำหนาวเดินตามผู้หญิงคนนั้นไปแล้ว”

องครักษ์ราชิตกระซิบบอกด้วยภาษาอาหรับพร้อมกับขยับกายลุกขึ้นเตรียมสะกดรอยตามแก้วตาดวงใจของเจ้าเหนือหัว

“เราเห็นแล้วราชิต ตามห่างๆ อย่าให้เพื่อนของน้ำหนาวรู้ตัว”

เจ้าชายแห่งทะเลทรายกระซิบตอบเป็นภาษาอาหรับเช่นเดียวกัน การที่เขาและราชิตสนทนากันด้วยภาษาประจำชาติก็เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย

ทั้งเจ้าชายซารีฟร์และองครักษ์ราชิตต่างก็เคลื่อนตัวตามสองสาวไปอย่างเงียบเชียบทั้งๆ ที่มีเรือนกายใหญ่โตแต่บุรุษหนุ่มทั้งสองก็เดินได้อย่างแผ่วเบาไร้เสียงฝีเท้ารบกวนคนอื่น

“ทอมสันเขารอเราที่ไหนหรือแองจิล่า”

นาราภัทรเอ่ยถามเพื่อนสาวเสียงแผ่วเบา ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็รัดตึงคับแน่นจนอยากถอดทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดไป

“ทอมสันรออยู่ห้องนะ...เอ่อ...ที่ห้องทำงาน” แองจิล่าเอ่ยตอบตะกุกตะกักเกือบหลุดปากแล้วว่าทอมสันรออยู่ที่ห้องนอน

“ห้องนี้แหละน้ำหนาว เธอเข้าไปก่อนน่ะ ฉันปวดท้องขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”

แองจิล่าไม่รอให้นาราภัทรตอบรับหรือปฏิเสธพอเปิดประตูห้องนอนได้ก็ผลักหลังให้ร่างบอบบางถลาหัวคะมำเข้าไปในห้องนอนใหญ่จากนั้นก็ปิดประตูแล้วล็อกจากภายนอกกันไม่ให้นาราภัทรเปิดออกมาได้

“แองจิล่า! เดี๋ยวก่อนสิ”

นาราภัทรวิ่งตามไปทุบประตูห้องจับลูกบิดพยายามเปิดออกแต่เปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ได้ ใบหน้างามถอดสีเผือดไร้สีเลือดรับรู้ได้ทันทีว่าแองจิล่าทิ้งเธอไปแล้ว

“ไม่ต้องเปิดให้เมื่อยหรอกน้ำหนาว ประตูติดล็อกจากภายนอก เปิดยังไงก็เปิดไม่ได้หรอก”

พอลหัวเราะร่วนยืนอยู่ใกล้ๆ กับทอมสันซึ่งนั่งยิ้มหื่นกระหายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางห้องนอน

นาราภัทรหันขวับมามองตามต้นเสียงพอได้เห็นเตียงนอนขนาดใหญ่และชายต่างชาติสองคนที่อยู่ในชุดกึ่ง

เปลือยสวมแค่กางเกงชิ้นเดียวก็ยิ่งตกใจหวาดกลัวมากกว่าเดิม รู้ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้ตั้งใจอยู่รอจ่ายค่างวดจากการทำงาน แต่พวกเขามีจุดมุ่งหมายอื่นซึ่งเห็นได้ชัดว่านั่นก็คือตัวเธอ

“พวกคุณต้องการอะไร”

น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นห้วนจัด พยายามแสดงออกให้รู้ว่าตนเองเข้มแข็งไม่หวาดหวั่นตี่นตระหนกกับภัยที่รออยู่เบื้องหน้า ใบหน้างดงามเชิดขึ้น ดวงตากลมโตคู่สวยจ้องมองชายชั่วที่คิดร้ายกับตนเองเขม็งทั้งๆ ที่จริงแล้วในใจนั้นหวาดกลัวใจเต้นตุบๆ ดวงตาพร่ามัวครั้นเนื้อครั้นตัวร้อนรุ่มไปหมด

พอลกับทอมสันต่างก็หัวเราะร่วนกับคำถามของกวางสาว พวกเขารู้ว่ายาที่แองจิล่าเอาให้หญิงสาวกินนั้นเริ่มก่อตัวออกฤทธิ์แล้ว

“ดูไม่ออกหรือไงน้ำหนาวว่าฉันต้องการอะไร”

พอลยิ้มหื่นกระหายขณะสาวเท้าเข้ามาใกล้เรือนร่างบอบบางที่โฉยกลิ่นหอมกรุงใจเข้ามาแตะจมูกกระตุ้นให้แก่นกายของเขาตั้งเด่นตระหง่านอย่างระงับไว้ไม่อยู่

“ถอยออกไปเดี๋ยวนี้ พวกแกเลวมากเอาเงินเอางานมาล่อเพื่อหลอกให้ฉันตกหลุมพราง”

หญิงสาวตวาดลั่นข่มความกลัวสู้กับความชั่วร้าย สายตากวาดมองรอบห้องเพื่อหาอาวุธป้องกันตัว ขณะเดียวกันก็นึกถึงบิดามารดาพี่สาวรวมทั้งเจ้าชายซารีฟร์เจ้าชายแห่งแผ่นผืนทะเลทรายได้ช่วยคุ้มครองให้เธอรอดพ้นจากปากแร้งปากกา

“ถ้าไม่เอางานดีๆ เงินดีๆ มาล่อ กูจะได้เชยชมเรือนร่างอันสุดเซ็กซี่เร้าใจของเธอหรือ เวลาอยู่ที่ผับกูแตะนิดแตะหน่อยทำเป็นสะดีดสะดิ้งหวงเนื้อหวงตัว วันนี้มึงหนีกูไม่พ้นแน่ ยังไงก็ต้องตกเป็นของเล่นให้กูกับทอมสัน”

สันดานชั่วที่พยายามปิดไว้เท่าไหร่ก็ปิดไม่มิดหางจิ้งจอกที่เก็บงำซ่อนเร้นไว้นานได้โผล่ออกมาให้เห็นเต็มตัว ร่างที่เปลือยกายท่อนบนได้เดินต้อนนาราภัทรไปเรื่อยๆ ส่วนอีกหนึ่งชายชั่วทอมสันก็หัวเราะร่วนจิบบรั่นดีนั่งมองเพื่อนของตนไล้ต้อนเหยื่อสาวให้จนมุม

“กรี๊ดดดดด!!!...ช่วยด้วย!!!...ช่วยน้ำหนาวด้วย ”

นาราภัทรกรี๊ดร้องลั่นเมื่อถูกพอลไล่ต้อนจนถอยเข้าไปอยู่มุมห้องไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้อีก เมื่อมือสกปรกของคนใจชั่วเอื้อมมากระชากเสื้อที่สวมขาดดังแคว็กหญิงสาวก็กรีดร้องลั่นอีกครั้งพร้อมๆ กับบานประตูห้องที่ถูกถีบออกอย่างแรงเต็มสองเท้า

“กรี๊ด!!!...ช่วยน้ำหนาวด้วย”

“พวกมึงเป็นใครมายุ่งอะไรกับอีตัวของกู”

ทอมสันถลาเข้าหาผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยหวังจะซัดคนที่ออกคำสั่งพอลและเข้ามาขัดจังหวะความสำราญของตนเองสักหมัดของหมัด

ผั้วะ!!!...โครม...

องครักษ์ราชิตรออยู่แล้วเมื่อทอมสันพุ่งพรวดเข้าหาเจ้าชายหนุ่มเขาก็ประเคนหมัดลุ่นๆ เข้าไปที่ใบหน้าของทอมสันเต็มแรงจนถึงกับล้มโครมลงไปกองเลือดแดงฉานกบปากทันที จากนั้นก็ตามไปซ้ำโดยเหยียบยอดอกพร้อมกับกระชากปืนอีกด้ามขึ้นมาตั้งลำกล้องจ่อไปที่ศีรษะของทอมสัน

“ถ้าฉันเป็นแก ฉันจะนอนเฉยๆ ดีกว่าต้องกินลูกตะกั่วร้อนๆ”

ราชิตขู่เสียงเย็นลอดไรฟัน ปืนที่ถือไว้แน่นไม่มีไหวติง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องทอมสันเขม็งเพิ่มน้ำหนักเท้าที่เหยียบบนอกอีกฝ่ายลงไปอีกจนทอมสันต้องลั่นด้วยความเจ็บปวด

“ไอ้ชาติหมา...พวกมึงเป็นใครแล้วรู้หรือเปล่าว่ากูคือใคร”

พอลตะโกนด่าลั่นทั่วห้องหวาดกลัวจนหน้าซีดเผือดยิ่งบุรุษชาติอาหรับไม่ได้รับเชิญตั้งลำกล้องปืนจ้องแน่นิ่งมาที่ของรักของสงวนของตนยิ่งทำให้กลัวหนักเข้าไปกว่าเดิมจนฉี่แทบราด

“กูเป็นใครไม่สำคัญ มึงจำเอาไว้ให้ดีแล้วกันถ้าหากพวกมึงมายุ่งกับชายาของกูอีกครั้ง พวกมึงจะถูกถอนรากถอนโคนให้เหลือแต่ชื่อ”

เจ้าชายซารีฟร์สวนกลับเสียงราบเรียบ นักเลงกระจอกไร้ฝีมือพวกนี้ไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวสักนิด เรือนกายกำยำสืบเท้าอย่างช้าๆ เข้าไปหาพอลโดยที่มัจจุราชสีดำยังคงตั้งจดจ่อมีเป้าหมายอยู่ที่แก่นกายชั่วๆ ของพอลเหมือนเดิมและเมื่อเข้าไปใกล้ไอ้หน้าตัวเมียที่ถูกตรึงให้นิ่งขึงหวาดกลัวด้วยอาวุธที่เรียกว่าปืนเจ้าชายซารีฟร์ก็หวดใบหน้าขาวไร้สีเลือดด้วยด้ามปืนเต็มกำลัง

ผั้วะ!!!...

“นี่คือการสั่งสอนเบาะๆ ถ้ามึงไม่เลิกตอแยกับน้ำหนาวอีกระวัง The Long Night Pub จะถูกพังให้ราบเป็นหน้ากลอง”

เจ้าชายซารีฟร์อุ้มเรือนร่างบอบบางมาไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอมปกป้องพร้อมกับเอ่ยสั่งองครักษ์เอก

“ราชิตมัดพวกมันไว้”

“พะยะค่ะ” องครักษ์ราชิตโค้งคำนับรับคำสั่งจากนั้นก็ใช้ปืนกวักเรียกให้พอลคลานมารวมกับทอมสันเพื่อนรักของมัน

“ท่าทางภาษาใบ้ของเจ้าจะไม่ได้ผลน่ะราชิต”

เจ้าชายหนุ่มแห่งอัลนูรีนซึ่งยืนดูอยู่ไม่ห่างเอ่ยชี้แนะองครักษ์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึก

ราชิตหัวเราะร่วนอย่างรู้งาน “ถ้าใช้ภาษาใบ้แล้วแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขออนุญาตสะกิดรอยหยักในหัวสมองของพวกมันด้วยสิ่งนี้พะยะค่ะ”

ฟิ้วววว!!!...

อาวุธประจำกายนั้นเป็นปืนแบบเก็บเสียงอยู่แล้วเพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าใครจะได้ยิน สิ้นถ้อยคำที่แกล้งเอ่ยขออนุญาตเจ้าเหนือหัว องครักษ์ราชิตก็ยิงปืนไปที่เท้าของพอลเอาแบบเฉียดๆ ให้ได้รู้สึกถึงความร้อนฉ่าของลูกกระสุนที่ปลดปล่อยออกไป

“ไอ้ชาติหมา”

พอลสบถร้องลั่นลนลานล้มลุกคลุกคลานเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ กับทอมสัน หวาดกลัวสุดชีวิตเมื่อมาเจอคนจริงเช่นนี้

องครักษ์ราชิตหัวเราะร่วนกระชากผ้าปูที่นอนออกมาฉีกเป็นเส้นยาวๆ ใช้แทนเชือกจากนั้นก็สั่งให้เศษสวะทั้งสองนั่งเอาหลังชนกันแล้วมัดด้วยผ้าปูอย่างแน่นหนา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย