พายุรักแห่งเม็ดทราย นิยาย บท 9

5 นาที ก่อนที่ The Long Night Pub จะปิดให้บริการ

เด็กเสริฟภายในผับได้เดินเข้ามาสะกิดนาราภัทรแจ้งให้ทราบว่าพอลให้เข้าไปพบที่ห้องทำงานเป็นการด่วน หญิงสาวก้มลงมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือแล้วถอนหายใจยืดยาวอีกไม่ถึง 10 นาทีก็เลิกงานแล้ว อีตาพอลจะมาเรียกคุยอะไรตอนนี้ แต่เมื่อไม่มีทางเลี่ยงหญิงสาวก็จำต้องวางมือจากการช่วยแองจิล่าเก็บขวดเหล้าทำความสะอาดเคาร์เตอร์บาร์ก่อนจะเดินไปพบเจ้านายบนชั้นสองของผับ หญิงสาวได้แอบกวาดสายตามองหาเจ้าชายซารีฟร์ว่ายังคงอยู่หรือเปล่า แต่แล้วก็ต้องถอนหายใจยาวออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าตนเองโล่งอกหรือเสียใจกันแน่ที่เจ้าชายหนุ่มแห่งอัลนูรีนไม่ได้อยู่รอคอยเธอตามที่ตนเองเป็นคนออกคำสั่งเสียงหนักแน่น

“ไหนย้ำหนักนักหนาว่าให้เรารอ ที่ไหนได้ตัวเองกลับหนีกลับบ้านก่อนเราจะเลิกงานอีก”

นาราภัทรงึมงำต่อว่าเจ้าชายหนุ่มเสียงขึ้นจมูกทั้งโมโหทั้งน้อยใจและไม่เข้าใจตนเองว่าทำไมรู้สึกเช่นนี้กับบุรุษหนุ่มชาติอาหรับที่เพิ่งพบเจอะเจอกันแค่ไม่กี่นาที

“คราวหลังถ้าทำตามที่พูดไม่ได้ก็ไม่ต้องมาสัญยิงสัญญากับเราเลยน่ะ”

อาการโมโหฮึดฮัดยังมีให้เห็นเสียงบ่นพึมพำต่อว่ายังคงลอยมาเรื่อยๆ ขณะที่เจ้าตัวได้สาวเท้าขึ้นไปยังชั้นสองของผับและเมื่อมาหยุดยืนหน้าห้องทำงานของเจ้านายจอมแตะอั๋งนาราภัทรก็สำรวจเสื้อโค้ทตัวยาวว่าติดกระดุมเรียบร้อยหรือยัง การที่จะเข้ามาพบกับเจ้านายชีกอตามลำพังแบบนี้จำเป็นต้องแต่งตัวให้รัดกุมเพื่อไม่ให้ถูกลวนลามด้วยสายตา

ก๊อก...ก๊อก...

นาราภัทรเคาะประตูแค่ให้อีกฝ่ายรับรู้การมาถึงของเธอจากนั้นก็ได้เปิดประตูกระจกเข้าไปโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยอนุญาต

“คุณพอลต้องการพบดิฉันหรือคะ”

หญิงสาวเอ่ยถามเสียงราบเรียบแทนตัวเองว่าดิฉันเพราะไม่ต้องการให้ความสนิทสนมกับอีกฝ่ายและหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานใหญ่ของเจ้านายจอมชีกอหลายโยชน์

“ขยับเข้ามาใกล้หน่อยแล้วก็นั่งลงก่อนสิน้ำหนาว”

พอลออกคำสั่งเสียงเข้มด้วยหวังว่าลูกจ้างสาวจะยอมทำตามคำสั่ง ออกจะเสียดายอยู่มากที่นาราภัทรสวมเสื้อโค้ทตัวยาวมิดชิดปกปิดสิ่งสวยงามไม่ให้เขาได้เห็น

“คุณพอลมีเรื่องด่วนจะคุยกับดิฉันหรือเปล่า ถ้าไม่...ดิฉันจะขอตัวกลับเพราะถึงเวลาเลิกงานแล้ว”

นาราภัทรยังคงยืนนิ่งไม่ทำตามคำสั่งอีกฝ่าย เพราะหากขยับกายเข้าไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน อีตาพอลก็จะเอื้อมไม้เอื้อมมือมาลอบแตะอั๋งจับนิดจับหน่อย เพราะฉะนั้นยืนคุยอยู่ตรงนี้นั่นแหละดีแล้วจะเป็นการปลอดภัยสำหรับเธอที่สุด

พอลมองตามเรือนร่างอรชรในชุดโค้ทที่ยังคงยืนนิ่งเฉยอยู่ที่เดิมก็ลอบถอนหายใจยาวอย่างแสนเสียดายก่อนจะเอ่ยบอกวัตถุประสงค์ที่ให้ลูกจ้างเข้าพบ

“วันหยุดสุดสัปดาห์นี้คุณติดธุระหรือเปล่า”

“ไม่ค่ะ ดิฉันว่าง”

“ถ้างั้นดีเลย ผมมีงานพิเศษให้คุณทำ” พอลเอ่ยบอกแล้วเว้นจังหวะด้วยการยกบุหรี่ขึ้นโชว์ราวกับขออนุญาตก่อนจะจุดสูบ

นาราภัทรรีบพยักหน้าพร้อมกับแอบบ่นอยู่ในใจ ‘เฮ้อ...จะถ่วงเวลาไปถึงไหนอีตาพอล ขอเนื้อๆ เลยได้หรือเปล่า’

“งานพิเศษที่ว่าคืองานอะไรคะ”

คราวนี้นาราภัทรเป็นคนเร่งให้นายจ้างได้พูดบ้างเมื่ออีกฝ่ายทำสบายใจอัดครัวพิษหลายนาทีแล้วแต่ไม่ยอมเอ่ยพูดออกมาสักที

“ใจเย็นๆ สิน้ำหนาว อย่าเพิ่งเร่ง ผมกำลังจะบอกอยู่นี่แล้ว” พอลเอ่ยปลอบก่อนจะพ่นควันสีเทาออกจากปาก

‘ไม่ให้เร่งได้ไง ถ้าฉันไม่ได้ออกจากห้องนี้ภายใน 5 นาที ฉันก็ต้องนั่งรอรถเมล์นานอีกเป็นชั่วโมง’

นาราภัทรบ่นงึมงำอยู่ในใจขณะเหลือบสายตามองเวลาบนนาฬิกาเรือนสวยที่แขวนไว้บนฝาผนัง พอลรู้เรื่องเวลาเดินรถดีถึงได้แกล้งถ่วงเวลายืดยาวเช่นนี้

“ถ้าคุณไม่บอกภายใน 1 นาที ดิฉันจะกลับบ้านแล้ว”

หญิงสาวไม่ได้เอ่ยขู่ เธอขยับเท้าหันหลังกำลังจะก้าวออกจากห้องแต่ก็ถูกตรึงไว้ด้วยเรื่องเงินที่เจ้านายจอมชีกอได้เอ่ยหลอกล่อ

“โอเคผมบอกแล้ว เพื่อนผมต้องการจ้างคุณให้ไปชงเหล้าให้ในวันเกิดเขา”

เมื่อเห็นว่าลูกจ้างสาวแสนสวยน่ากินทำท่าไม่สนใจสักเท่าไหร่พอลจึงแกล้งเอ่ยบอกจำนวนค่าจ้างดังๆ

“ไม่สนใจหรือน้ำหนาว เขาให้ค่าจ้างชั่วโมงละ 50 ดอลลาร์เชียวน่ะ”

“50 ดอลลาร์ บ้าหรือเปล่าใครจะบ้าจ้างเยอะขนาดนี้”

นาราภัทรหันขวับเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อสักเท่าไหร่ 50 ดอลลาร์ออกจะแพงเกินไปสำหรับการทำหน้าที่ชงเหล้า คงไม่มีใครโง่จ้างบาร์เทนดี้แพงขนาดนี้หรอก

“สำหรับเราอาจจะคิดว่าแพง แต่สำหรับคนรวยอย่างทอมสันนั้นเป็นเรื่องขี้ผง คุณก็พอจะรู้นี่ว่าทอมสันนั้นรวยมากแค่ไหน”

พอลหลุบสายตาดีดขี้บุหรี่กับจานรองลุ้นอยู่ในใจจนตัวโก่งให้หญิงสาวตอบรับคำ ถ้าหากน้ำหนาวตกลงใจรับทำงานนี้นอกจากเขาจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินแล้วยังได้รับส่วนแบ่งที่เป็นเนื้อสดหอมหวานด้วย

‘ไม่อยากรู้หรอกว่าทอมสันรวยมากแค่ไหน ขอแค่ให้จ่ายเงินตามที่จ้างก็พอแล้ว’

เรื่องโอ้อวดว่าร่ำรวยนักร่ำรวยหนาใครๆ ก็พูดได้ทั้งนั้นแหละ เธอไม่อยากรู้หรอกว่านักท่องราตรีเหล่านี้จะมีเงินถุงเงินถังมากสักเพียงใด เธอสนใจแค่ว่าทอมสันจะยอมจ่ายค่าจ้างให้เธอตามที่พูดเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

“เพื่อนของคุณจะจัดงานเมื่อไหร่คะ”

“วันศุกร์นี้ ที่คฤหาสน์บนเนินเขา”

“ไกลแค่ไหนคะแล้วเขาจะจ้างดิฉันกี่ชั่วโมง”

“เชอะ! ทำเป็นสั่งเสียงเข้มออกมาช้าแค่ 5 นาทีก็ไม่เห็นใครรอเราสักคน อย่าให้เจอหน้าน่ะไม่งั้นน้ำหนาวจะ...”

“จะอะไรน้ำหนาว จะตบสั่งสอนหรือว่าจะกดจุมพิตเร่าร้อนลงโทษให้เราหลาบจำที่บังอาจไม่รอเจ้า”

นาราภัทรสะดุ้งเฮือกกระโดดโหยงลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงห้าวทุ้มที่เอ่ยตอบกลั้วหัวเราะพร้อมกับใบหน้าคมเข้ม ริมฝีปากร้อนผ่าวที่ยื่นเข้ามาใกล้พวงแก้มจนเธอรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นหอมสะอาดที่เป่ารินรดพวงแก้มแดงปลั่งของเธอ

“โผล่มาตอนไหนนี่ ไม่ให้ซุ่มให้เสียงเล่นเอาตกใจแทบช็อก”

นาราภัทรตวาดแว้ดด้วยความตกใจกึ่งโมโหเมื่อเห็นใบหน้าหล่อๆ ของเจ้าชายหนุ่มซึ่งกำลังจ้องมองด้วยแววตาแพรวพราวมันระยับ ริมฝีปากสีสดก็ยิ้มกริ่มราวกับขบขำเธอนักหนา

“มาตั้งนานแล้วแหละ ก็เจ้าไม่สนใจเราเองนี่มัวแต่บ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้งอยู่นั่นแหละ”

เจ้าชายซารีฟร์เฉลยพร้อมกับเอื้อมมือไปจับต้นแขนเนียนขาวผ่องไว้ไม่ให้หญิงงามจอมแก่นแก้วแถมขี้บ่นอีกต่างหากได้หลบหนีรัศมีที่ตนเองจะได้สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ชื่นใจจากกายสาว

“มาตั้งนานแล้ว ถ้างั้น...” หญิงสาวทวนคำหน้าแดงปลั่ง โอ๊ย! อยากจะบ้าตายเขาต้องได้ยินเสียงที่เธอด่าออกไปก่อนหน้านี้แน่นอน

“อืม...เราได้ยินเจ้าบ่นทุกคำนั่นแหละ”

เจ้าชายนักรักแห่งอัลนูรีนเอ่ยตอบกลั้วหัวเราะออกแรงดึงเล็กน้อยให้เรือนกายอรชรหอมกรุ่นขยับเข้ามาใกล้กับเรือนกายของตน

“แล้วทำไมไม่ออกมาเร็วกว่านี้ปล่อยให้เราแอบด่าคนเดียวอยู่ได้” นาราภัทรตวาดแว้ดมองค้อนตาเขียวปัดไม่ได้นึกกลัวว่าเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่จะโกรธตนเอง

เจ้าชายซารีฟร์เห็นกริยาของหญิงสาวแล้วก็หัวเราะร่วนด้วยความถูกอกถูกใจก่อนจะเอ่ยตอบออกมาให้นาราภัทรจนมุม

“เราถือสุภาษิตไทยตามที่ท่านแม่บอกเราน่ะ ท่านแม่บอกว่าผู้หญิงด่าแปลว่ารัก ถ้าผู้หญิงค้อนขวับแปลว่ากำลังให้ท่า”

นาราภัทรร้อนผ่าวไปทั่วทั้งใบหน้าและลำคอพวงแก้มเนียนค่อยๆ มีสีเลือดแดงซับไปทั่วด้วยความขัดเขินและการแก้ความเขินอายก็มีวิธีเดียวคือการเบี่ยงประเด็นชวนเจ้าชายหนุ่มเอ่ยพูดเรื่องที่ไกลจากตัวเธอ

“เจ้าชายมีแม่เป็นคนไทยใช่ไหมคะ”

“ใช่ เรากับท่านพี่ฮารีฟร์มีท่านแม่เป็นคนเดียวกันส่วนชารีฟร์เป็นอนุชาคนละแม่ เอาไว้คุยเรื่องครอบครัวของเราที่รถดีกว่าไหม ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วกลับบ้านกันเถอะเดี๋ยวเราจะไปส่ง”

นาราภัทรหันไปมองบุรุษหนุ่มอาหรับอีกสองคนที่ยังคงยืนนิ่งรออยู่ไม่ห่างจากบริเวณที่เธอกับเจ้าชายซารีฟร์นั่งอยู่สักเท่าไหร่ ถ้าหากเอาไม่ผิดบุรุษหนุ่มสองคนนี้คงเป็นองครักษ์ประจำกายที่คอยให้การอารักขาเจ้าชายซารีฟร์ผู้หล่อเหลาคมเข้ม

“ทำไมเจ้าชายกับองครักษ์ถึงไม่กลับสักที”

“ก็บอกแล้วไงว่าเรารอกลับพร้อมเจ้า”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย