พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 182

ตอนที่ 182 วางเพลิงตำหนักใหม่

ตำหนักรองยังคงมีเปลวไฟทะยานขึ้นสู่ฟ้า ซือถูเย้นได้พุ่งตัวออกไปยังพื้นที่ชุ่มน้ำ จากนั้นก็พุ่งกลับเข้าไปในเปลวไฟอีกสองครั้ง

ประตูใหญ่มีคานทองขวางกั้นจึงไม่สามารถเข้าไปได้ ทะเลไฟได้ลุกโชนไปทั่วสารทิศ หน้าต่างต่างปิดผนึกแน่น ถึงแม้ว่าจะถูกแผดเผาแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีฉากกั้นที่ถูกแผดเผาขวางกั้น ไม่สามารถเข้าไปได้

เขาใช้ตะบองเหล็กที่เก็บได้จากด้านนอกด้ามหนึ่งขึ้นมาทุบอย่างสุดกำลัง เปลวไฟก็ยิ่งบีบเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ภายในห้องเริ่มส่อให้เห็นถึงการยุบตัวลง

“ท่านอ๋อง หมดสิ้นหนทางแล้ว ออกไปกันก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ” ซูชิงพุ่งตัวเข้ามา แล้วพยายามดึงเขาออกไปข้างนอก

ในสายตา ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชนได้มีเหล่าองครักษ์พุ่งเข้ามา แต่ไม่สามารถเข้าใกล้ได้

ซูชิงเงยหน้าขึ้นแล้วก็เห็นว่าหลังคาได้พังทลายลงมา แผ่นกระเบื้องที่อดทนต่ออุณหภูมิที่สูงไม่ไหวต่างก็พากันร่วงหล่นกระจัดกระจายออกไปทั่วสารทิศจนเกิดเสียงดังปัง ถ้าไม่ถอยออกไปละก็ คงได้เป็นอันตรายกันอย่างแน่แท้

องครักษ์ได้กระแอมก่อนจะตะโกนออกไปว่า “ท่านอ๋อง แม่ทัพซู รีบไปกันเถอะ มันกำลังถล่มลงมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ซือถูเย้นเตะไปบนกำแพงที่เกิดการเผาไหม้จนลุกลามขยายเป็นวงกว้างออกไป ก่อนจะตะโกนออกไปอย่างสุดเสียงว่า “เสี้ยหลีโม่ ออกมา ออกมาได้แล้ว ถ้าไม่ออกมาเจ้าจะกลายเป็นหมูย่างนะ!”

เสียงเปรี๊ยงปร๊างของเปลวไฟที่แผดเผาได้ดังขยายเข้ามาในห้อง แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือกลับไม่มีแต่อย่างใด

ซูชิงมองไปทางซือถูเย้นที่แสดงอาการหวาดผวา ด้วยความรู้สึกที่ยากเกินพรรณนา นึกไม่ถึงว่าเสี้ยหลี่โม่จะอายุสั้นเช่นนี้

คนของฉวินเฉิงซือได้ทำการสาดน้ำอย่างไม่ลดละ คนอื่น ๆก็ช่วยหยิบผ้าฝ้ายขึ้นมาปกคลุมเปลวไฟไว้ แต่ในตอนที่เสียงระเบิดดังออกมาภายในห้องนั้น ทุกคนต่างพากับถอยร่นออกไป

นี่เป็นเสียงยุบตัวของกำแพง หากกำแพงเกิดการยุบตัวลงมา ภายในห้องนี้ก็คงจะต้านทานไว้ไม่อยู่ต้องยุบตัวลงมาด้วยเช่นกัน

เมื่อมีเศษหลังคาร่วงหล่นลงมาอย่างต่อเนื่อง ซูชิงจึงได้พูดขึ้นด้วยความร้อนใจว่า“เปลวไฟโหมกระหน่ำขนาดนี้ ถึงจะเข้าไป ก็ไม่รอดอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ”

ซือถูเย้นถอยร่นไปสองก้าว พร้อมกับจ้องมองไปทางเปลวไฟ หลังจากนั้นก็หมุนตัว ก้าวพรวดพราดออกไป

เสื้อคลุมที่อยู่บนตัวของเขาได้ถูกแผดเผาไปมากแล้ว หลังจากที่ออกไป องครักษ์ก็ใช้ผ้าฝ้ายดับไฟที่แผดเผาอยู่บนตัวของเขา ใบหน้าของเขาได้ถูกเปลวไฟสะท้อนกลับจนกลายเป็นสีดำแดง เต็มไปด้วยเถ้าถ่าน นัยน์ตาก็แดงก่ำ ส่งผลให้ใบหน้าของเขาดูโหดร้ายยากจะพรรณนาออกมาได้ อารมณ์โทสะทั่วทั้งร่างกายได้มารวมตัวกันอยู่ในแววตา รอเพียงแค่ระเบิดเท่านั้น

ซือถูจิ้งและเฉินหลิ่วหลิ่วได้พุ่งตัวเข้ามา เมื่อสักครู่เฉินหลิ่วหลิ่วอยู่ใต้กองไฟไฟมังกรที่กำลังเอียงลาดลงมา โชคดีที่ปฏิกิริยาตอบสนองนั้นว่องไวจึงไม่เป็นอะไร มิเช่นนั้น บัดนี้ก็คงกลายเป็นหมูย่างไปนานแล้ว

น้ำตาของนางได้ไหลอาบลงมาคล้ายกับไข่มุก “หลีโม่ละ? ทำไมถึงช่วยนางออกมาไม่ได้?”

ศีรษะที่เต็มไปด้วยฝุ่นและดินทรายของซูชิงได้ก้มลงมองก่อนพูดขึ้นว่า “ไร้ซึ่งหนทางเข้าไป คานทองได้หักโค่นลงมา ขวางทางประตูไว้ ไม่มีทางเข้าไปได้เลย”

ซือถูเย้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คานทองได้ร่วงหล่นลงมาขวางประตูไว้อยู่ ? ไม่เห็นหรืออย่างไร!”

ซูชิงตื่นตกใจไป เขาก็นึกไม่ออกถึงปัญหานี้

เมื่อเฉิงเสี้ยงเสี้ยได้ยินคำพูดของซือถูเย้น จึงได้เดินเข้ามาแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ความจริงแล้วห้องนี้อันตรายมากอยู่แล้ว กระหม่อมได้ให้คนมาทำการซ่อมแซมแล้ว แต่หลังจากขัดขวางอยู่มาแรมเดือน ไม่สามารถทำได้ จึงได้ทำการนำคานทองมาค่ำยันทั้งสองข้างไว้ชั่วคราว คาดว่าช่างฝีมือน่าจะวางไว้ไม่ดีพ่ะย่ะค่ะ”

“เปินหวางมองออก!” ใบหน้าของซือถูเย้นแสดงสีหน้าลำบากใจออกมา ความจริงแล้วเขารู้ว่าคืนนี้จะต้องมีเรื่องเกิดขึ้น แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นการวางเพลิงเช่นนี้ เป็นความสะเพร่าของเขา จนทำร้ายเสี้ยหลีโม่ผู้โง่เง่าเต่าตุ่นผู้นี้

“ฉวินเฉิงซืออยู่ไหน?” ซือถูเย้นตะโกนออกไป

“เกิดอะไรขึ้น? น้ำละ?”

เสียงโง่เง่าเต่าตุ่นที่แฝงไปด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกตกใจได้ดังขยายออกมาจากด้านหลังอย่างฉับพลัน

ซือถูเย้นหันกลับไปมองอย่างฉับพลัน แล้วก็เห็นเสี้ยหลีโม่เดินเข้ามาพร้อมกับกำลังอุ้มไก่ตัวเป็นสองตัวอยู่ในอ้อมแขน ไก่ที่อยู่ในอ้อมแขนของนางต่างพากันดิ้นพล่านไม่หยุดหย่อน ท่าทางของนางดูเหม่อลอย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

หากไม่ใช่เพราะว่าเสื้อคลุมที่เปลี่ยนไป หากไม่ใช่เพราะศีรษะของนางเกิดการเผาไหม้เล็กน้อย ซือถูเย้นก็คงคิดว่านางคงจมหายเข้าไปในกองเพลิงแล้ว

ทุกคนต่างพากันอึ้งงันไป สีหน้าของนายหญิงแก่และเฉิงเสี้ยงเสี้ยก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นยากที่จะพรรณนาออกมาได้ทันใด ไม่อยากเชื่อว่านางจะรอดออกมาได้

หลีโม่วางไก่นั้นลง แล้วเดินมาตรงหน้าของซือถูเย้นพร้อมมองไปทางเขา “ท่านอ๋อง ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมเพคะ? ใบหน้าของท่านดำสนิท ท่านสู้จนตัวตายเช่นนี้ ช่วยเหลือใครได้ไหมเพคะ? ยังมีใครอยู่ในนั้นอีกไหมเพคะ?”

“เด็กโง่!” ซือถูเย้นตะโกนออกไปอย่างฉับพลัน เสียงที่ดังสนั่นแทบจะทำให้หูของหลีโม่ดับสนิทลงในทันที ดวงตาทั้งสองข้างของเขาได้จ้องเขม็งไปทางนางด้วยแววตาดุร้าย ยากจะกดนางลงไปบนพื้นและเหยียบซ้ำๆสักหลายครั้ง “ไม่เห็นว่าเปินหวางกำลังดังเพลิงอยู่หรือ? ไม่รู้เลยหรือว่าใครอยู่ข้างใน? ใครที่ช่วยไม่ได้?”

“ฮึก........” หลีโม่ถอยร่นไปด้านหลัง ด้วยความตื่นตกใจอย่างเห็นได้ชัด เฉินหลิ่วหลิ่วได้รุดขึ้นหน้าเข้ามากอด ก่อนพูดไปพลางร้องไห้ไปพลางว่า “หลีโม่เจ้าทำให้ท่านอ๋องแทบเป็นบ้า ท่านอ๋องคิดว่าเจ้าอยู่ข้างใน เขาพยายามเข้าไปช่วยเจ้า เกือบจะสิ้นใจอยู่ข้างใน”

“หา?” หลีโม่มองไปทางซือถูเย้นด้วยความประหลาดใจ “ท่านอ๋องคิดว่าหม่อมฉันอยู่ข้างในหรือเพคะ? หม่อมฉันจะไปอยู่ข้างในได้อย่างไร? หม่อมฉันไปลานเสี้ยจื้อกับฮูหยินรองมาเพคะ”

“อะไรนะ?” เฉิงเสี้ยงเสี้ยพลันตกใจ ก่อนถามขึ้นอย่างยั้งสติไว้ไม่อยู่ “เจ้าไปลานเสี้ยจื้อกับฮูหยินรองหรือ?”

“ใช่เพคะ ฮูหยินรองรู้สึกไม่ค่อยสบาย หม่อมฉันเลยให้นางไปพักผ่อนที่ลานเสี้ยจื้อ หลังจากที่นางดีขึ้นแล้ว หม่อมฉันจึงมา จริงสิ ในตอนที่หม่อมฉันมาถึง ดูเหมือนว่าห้องใหม่ได้เกิดไฟไม้แล้วนะเพคะ” หลีโม่ชี้ไปทางห้องใหม่ เมื่อทุกคนหันไป ก็เห็นควันไฟสีดำได้ลุกลามเผาไหม้อย่างที่ว่าไว้จริงๆ

ปอดของเฉิงเสี้ยงเสี้ยแทบจะระเบิดออกมา ก่อนจะตะโกนออกไปด้วยความโกรธเคืองว่า “ช่วยกันดับไฟเร็ว!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม