พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 264

ตอนที่ 264 เจ้าเมืองโหรวเหยา

ท่านแม่ทัพหลี่ที่กำลังบ่นอยู่นั้น จนถึงพลบค่ำหลีโม่ถึงได้ยอมกลับไปที่ศาลเจ้า

นางรู้ว่าถ้าหากยังไม่กลับไปอีก แม่ทัพหลี่จะต้องระเบิดอารมณ์แน่นอน

เขาได้แต่เริ่มพูดกับซูชิงเสียงเบาๆ ต่อไปจะต้องพูดเสียงดังออกมาตรงๆ ให้หลีโม่ได้ยินแน่นอน

พอกลับไปถึงศาลเจ้า กลิ่นเหม็นของศพที่เน่าเปื่อยก็โชยออกมาอย่างฉับพลัน วันนี้หลีโม่ยังไม่ได้กินข้าว กระเพาะก็เริ่มร้องขึ้นมากะทันหัน รู้สึกคลื่นไส้อย่างอดไม่ได้

ซูชิงพยุงนางเอาไว้ “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่? ”

“ข้าไม่เป็นอะไร คงจะหิวกระมัง? ” หลีโม่โบกมือไปมา กลับไม่ใช่เพราะกลิ่นเหม็นเน่าพวกนี้ที่ทำให้นางรู้สึกเป็นทุกข์ แต่เพราะว่านางหิวแล้ว

แม่ทัพหลี่มองไปทางอื่น ใจลึกๆ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ รู้ว่าคุณหนูใหญ่ผู้นี้มาแล้ว จากนั้นก็ไม่รักษาคนป่วยและยังต้องให้พวกเขาคอยปรนนิบัติ

เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ซูชิงหันมาพูดกับแม่ทัพหลี่ “เจ้าไปจัดของกินมาหน่อย นางยังไม่ได้กินเข้า”

แม่ทัพหลี่หันกลับไปสั่งการด้วยความคับแค้นใจ ท่านอ๋องก็จริงๆ เลย เหตุใดถึงได้ให้คนเช่นนี้มา? แถมยังประกาศออกมาอย่างโจ่งแจ้งอีก ยังบอกว่านางสามารถรักษาโรคระบาดได้ ตอนนี้คนในพื้นที่โรคระบาดล้วนรู้หมดแล้ว หากวันนี้ไม่ขัดขวางเอาไว้ เกรงว่าต้องแห่ออกมาดูเจ้าแม่กวนอิมผู้นี้แน่นอน

ความโกรธของแม่ทัพหลี่มาจากการที่หลีโม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง

มานานขนาดนี้แล้ว คนป่วยแม้แต่คนเดียวก็ยังไม่ดู รู้แค่ว่าอยากจะกินข้าวแล้ว

ซูชิงพยุงหลีโม่เข้าไปในศาลเจ้า

คนป่วยในศาลเจ้าต่างถูกมัดอยู่บนเตียงไม้คนละเตียงอย่างง่ายๆ มีหมอหลายคนที่เดินไปเดินมาอยู่ในนั้น หนึ่งในนั้นสวมชุดสีเขียว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีผู้หนึ่ง

นางนั่งอยู่หน้าเตียงของผู้ป่วยคนหนึ่ง กำลังเช็ดทำความสะอาดบาดแผลที่ถูกกัด ผู้ป่วยคนนั้นส่งเสียงร้องคำรามออกมา เสียงคำรามที่แผดออกมาจากลำคอ ดูดุร้ายยิ่งนัก แต่สตรีผู้นั้นราวกับว่ามองไม่เห็น

เมื่อได้ยินเสียงมีคนเข้ามา นางก็หมุนตัวกลับไป จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างช้า

เมื่อนางเห็นซูชิงกับหลีโม่ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยครู่หนึ่ง

ใบหน้ารูปไข่ หางตางอน ผิวหน้าที่ไร้การเสริมแต่งใดๆ ของนางไม่ถือว่าขาวผ่อง มวยผมที่มัดขึ้นอย่างเรียบง่าย เครื่องหน้าดูโดดเด่นเป็นอย่างมากเป็นความงดงามมากอย่างหนึ่ง

นี่เป็นครั้งแรกที่หลีโม่ได้พบคนที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยการแต่งหน้าใดๆ ก็สามารถมีความงามในแบบธรรมดาได้

“ท่านเจ้าเมืองงั้นหรือ? ” ซูชิงตกใจเป็นอย่างมาก ถึงกับต้องร้องอุทานออกมา

มีสัญญาณเตือนขึ้นมาในใจของหลีโม่ เจ้าเมืองงั้นหรือ? คงไม่บังเอิญเป็นเจ้าเมืองโหรวเหยาขนาดนั้นหรอกกระมัง?

“ซูชิง เจ้ามาได้อย่างไร? ” หญิงสาววางของในมือลง แล้วเดินเข้ามา แต่สายตากลับจ้องไปที่หน้าของหลีโม่ตลอดเวลา มองพิจารณาอยากโจ่งแจ้ง

“ข้าพาท่านหมอหลี่มาขอรับ ท่านกลับมาเมื่อไหร่หรือขอรับ? เหตุใดถึงไม่บอกพวกเราเลย? ” ซูชิงดูดีใจมากอย่างเห็นได้ชัด เอ่ยถามอย่างสนิทสนม

“กลับมาได้หลายวันแล้วล่ะ ได้ยินข่าวว่าที่นี่มีโรคระบาด ก็เลยเข้ามาดูเสียหน่อย” สายตาของเจ้าเมืองโหรวเยามองไปที่มือของซูชิง มือของเขากำลังพยุงตัวหลีโม่อยู่ “ท่านหมอเสี้ยผู้นี้ คงไม่ใช่ภรรยาเจ้าใช่หรือไม่? ”

ซูชิงยิ้มแล้วตอบไปว่า “จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า? นางเป็นว่าที่ภรรยาของท่านอ๋องน่ะขอรับ”

“ท่านอ๋อง? ท่านอ๋องท่านไหนกันหรือ? ” เจ้าเมืองโหรวเหยาเอ่ยถาม

“ย่อมต้องเป็นอ๋องซื่อเจิ้ง ลูกพี่ลูกน้องของท่านไงขอรับ” ซูชิงแนะนำออกมาอย่างไม่ขัดข้องใดๆ เลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อหลังจากแนะนำเสร็จแล้ว ดูเหมือนเพิ่งนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว “ท่านมาที่พื้นที่โรคระบาดได้อย่างไร? อันตรายขนาดนี้? ”

แต่เจ้าเมืองโหรวเหยาไม่คิดจะตอบคำถามของเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่จ้องมองหลีโม่ตลอดเวลา “ว่าที่ภรรยาของท่านพี่งั้นหรือ? ดูไปแล้วดูงั้นๆ ”

แม่ทัพหลีหัวเราเย็นชา “ปรับปรุง? คุณหนูใหญ่พูดได้น่าฟังยิ่งนัก จะเอาเงินที่ไหนมาปรับปรุงล่ะขอรับ? เงินของราชสำนักยังไม่จัดสรรลงมาให้เลย”

หลีโม่ถามซูชิงว่า “ราชสำนักยังไม่ส่งเงินมาอีกหรือ? ”

“ท่านอ๋องลงนามในใบคำสั่งการจัดสรรเงินเรียบร้อยแล้วขอรับ อีกทั้งยังมีราชโองการให้ใต้เท้าเหลียงของจิงเจ้าหยิ่นให้ไปซื้อวัตถุดิบแล้วขอรับ” ซูชิงหันกลับไปถามแม่ทัพหลี่ว่า “ทางสำนักจิงเจ้าหยิ่นไม่ได้ส่งวัตถุดิบเข้ามาเลยหรือ? ”

นายทัพหลี่กล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มใจว่า “ส่งมาที่ไหนกัน? ทางกองทัพต่างก็เร่งรัดไปหลายครั้งแล้ว ตอนนี้ยุ้งฉางในบ้านของชาวบ้านก็เอาออกมาหมดแล้ว เพราะไม่ใช่ชาวบ้านทั้งหมดจะทำการเพาะปลูก มีบางคนที่ทำการค้าเล็กๆ แล้วตอนนี้ก็ออกไปไม่ได้ แม้จะมีเงินติดตัวก็ซื้ออะไรไม่ได้ กำลังคนของพวกเราก็มีไม่พอ ไม่ทางที่จะออกไปได้ ”

ทหารที่อยู่ด้านนอกเป็นท่านอ๋องส่งมาใช่หรือไม่? “ ซูชิงถาม

“เป็นท่านอ๋องส่งมา แต่ท่านอ๋องก็สั่งมาอย่างเข้มงวดว่าไม่ให้พวกเขาออกไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว จะต้องเป็นแนวหน้าป้องกันไม่ให้ใครก็ตามเข้ามาในนี้ และไม่ให้ใครก็ตามออกไปจากที่นี่ พวกเราก็เลยออกไปจากที่ได้ไม่ง่ายนัก”

“ใต้เท้าเหลียงท่านนี้แม้แต่วัตถุดิบก็ไม่ส่งเข้ามา ดูท่าเส้นทางของขุนนางนี้คงถึงทางตันแล้ว” ซูชิงพูดอย่าเย็นชา

เมื่อเจ้าเมืองโหรวเหยาได้ฟังคำนี้ ก็พูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ใต้เท้าเหลียงหน้าไหว้หลังหลอก เบื้องหลังอาจจะไม่มีใครสั่งการ”

หลีโม่พูดกับซูชิงว่า “เจ้าไปที่ลานบ้านเล็กของตระกูลเฉิน บอกเย็นเอ๋อร์ว่าจะเบิกเงิน ตระกูลหูเคยพูดเอาไว้ว่าเรื่องของหมู่บ้านก้อนหินทั้งหมดให้ไปเบิกเงินกับร้านติ่งเฟิง ตอนนี้ติ่งเฟิงก็ส่งมาแล้วหนึ่งหมื่นสองพันตำลึง ตอนนี้ก็อยู่ในมือของเย็นเอ๋อร์ เจ้าบอกนางอีกว่าหลังจากเบิกเงินแล้วให้พาคนไปซื้อเสบียงอาหาร อาหารจะต้องมาทันแน่นอน จะมากินแต่หมั่นโถวอย่างเดียวไม่ได้ ”

ถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ จะรอดหรือตายก็อาจรู้ได้ ในใจก็มีแต่ความหวาดกลัว หากแม้แต่มื้อดีๆ ก็กินไม่ได้อีก ก็พูดไม่ออกแล้วจริงๆ

ซูชิงยิ้มแล้วพูดว่า “ดูสิข้าพูดอะไรออกมา? เป็นพระโพธิสัตว์ใช่หรือไม่ล่ะ? ”

เจ้าเมืองโหรวเหยาหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “เอาเงินของตระกูลหูมาใจกว้าง พระโพธิสัตว์นี่ก็สามารถเป็นได้อย่างสบายๆ จริงๆ เลยนะ”

หลีโม่หมุนตัวมา กินหมั่นโถวเข้าไป แล้วพูดในใจอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่ชอบนางจริงๆ ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม