พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 400

ตอนที่ 400 เข้าใจผิดไปตลอดชีวิต

หลีโม่อยากจะปิดประตูเร็วๆ เท้าเล็กของซือถูเย้นก็สอดเข้ามา “ไม่ต้องปิดประตู ข้าจะปกป้องเองพวกเจ้าอยู่ด้านนอก”

หลีโม่ดึงโหรวเหยาไปแล้วจ้องไปที่เขา “ท่านคิดจะทำอะไร?”

ซือถูเย้นพูดอย่างม่ใส่ใจว่า “ไม่ได้ทำอะไร ห้องนี้เจ้าเข้าไปได้ ข้าก็เข้าไปได้ และมันไม่ใช่ห้องของเจ้า”

“เช่นนั้นพวกเราไปห้องทิงซวน” หลีโม่ดึงโหรวเหยา

“ข้าไปด้วย”

“ห้องทิงซวนไม่ใช่ที่ของท่านกระมัง?”

“เป็นที่ของแม่ยายข้า ข้าจะไปเยี่ยมแม่ยาย คงไม่จำเป็นต้องให้เจ้าอนุญาตกระมัง?” ซือถูเย้นพูดอย่างเกเร

หลีโม่พูดอย่างโมโหว่า “พอได้แล้ว ข้าถามท่านแต่ท่านไม่พูด ข้าจะถามโหรวเอ๋อร์ก็ไม่ได้งั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นท่านก็บอกข้ามา ฟางเอ๋อร์เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

โหรวเหยาตกใจมาก “อะไรนะ? หลีโม่เจ้าว่าอะไรนะ? ฟางเอ๋อร์?”

“ใช่ พี่สาวของเจ้า” หลีโม่กล่าว

โหรวเหยาด่าออกมาชุดใหญ่ “นางไม่ใช่พี่สาวของข้า ตระกูลซุนไม่มีคนผู้นี้อยู่ นางตายอยู่ข้างนอกดีที่สุด ไม่ต้องกลับมาอีกเลย หากข้าเจอนางก็ไม่มีทางยกโทษให้นาง”

พูดจบ ก็ผลักหลีโม่ออก แล้ววิ่งออกไปทันที

หลีโม่มองซือถูเย้นอย่างตะลึงงัน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? โหรวเหยาโกรธนางขนาดนี้เชียวหรือ?”

ซือถูเย้นพูดด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

หลีโม่เกลียดจนคันฟัน แต่ก็จนใจเพราะทำอะไรเขาไม่ได้ หากเขาไม่ยอมพูด แม้จะเอามีดมางัดปากเขา เขาก็ไม่มีทางพูดอยู่ดี

แต่หลีโม่แน่ใจว่าระหว่างฟางเอ๋อร์กับเขาจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน จนสุดท้ายต้องถูกไล่ออกจากตระกูล ทั้งยังถูกคนในตระกูลจงเกลียดจงชังเช่นนี้ เรื่องนี้จะต้องร้ายแรงมากอย่างแน่นอน

ในเมื่อไม่มีทางลงมือกับโหรวเหยาได้ หลีโม่จึงคิดจะไปถามเซียวโธ่ ทว่าเซียวโธ่กับซูชิงออกไปตามหาหมอหลี่ จนป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย

เมื่ออับจนหนทาง จึงทำได้เพียงไปเปลี่ยนยาให้อ๋องเหลียง

อ๋องเหลียงไม่มีไข้สูงแล้ว แต่อุณหภูมิก็ยังต่ำอยู่ บาดแผลมีส่วนที่อักเสบ เพราะการฆ่าเชื้อยังไม่ทั่วถึงมากพอ แต่สำหรับหลีโม่แล้ว ไม่มีแผลที่เป็นบาดทะยัก ก็ถือว่าดีมากแล้ว

อ๋องเหลียงเริ่มขยับตัวได้บ้างแล้ว หลีโม่ตรวจกระดูกให้กับเขา เขาเจ็บปวดจนต้องร้องอู้อี้ออกมา อี้เอ๋อร์มองดูอยู่ข้างๆ อย่างเคร่งเครียด ปากก็พูดว่า “พระชายา ท่านเบาๆ หน่อย เบาๆ…”

หลีโม่ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ็บถือเป็นเรื่องดี อย่างน้อยนี่ก็พิสูจน์ได้ว่าเส้นประสาทยังไม่ตาย”

อี้เอ๋อร์กลับไม่เข้าใจ พูดเสียงเบาว่า “เจ็บมันจะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร? เจ็บเป็นเรื่องไม่ดีต่างหากล่ะ”

กระดูกโคนขาหัก กระดูกที่ต้นขาก็หักเช่นกัน หลีโม่ถอนหายใจเบาๆ “อ๋องเหลียง การต่อสู้ในครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะโชคดีหรือโชคร้าย อย่างน้อยข้าก็ไม่จำเป็นต้องขัดจังหวะขาของท่านอีก”

อ๋องเหลียงกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดถามขึ้นมาอย่างว่า “หมายความว่าอย่างไร?”

“เสด็จแม่ของท่านขัดจังหวะเอาไว้ เป็นตำแหน่งที่เคยหักมาก่อนหน้านี้พอดี ดังนั้น รอจนแผลของท่านดีขึ้น ก็สามารถรับการรักษาได้แล้ว” หลีโม่กล่าว

อ๋องเหลียงไม่พูดไม่จา ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น

หลีโม่พูดเสียงสูงว่า “ท่านยังไม่คิดเรื่องรักษาขาตัวเองอีกหรือ? ยังอยากจะละทิ้งตัวเองอีกหรือไม่?”

อ๋องเหลียงส่ายหน้า “ไม่ หลีโม่ ใช้ทุกวิถีทาง รักษาข้าให้หาย”

“เช่นนั้นก็ดี” หลีโม่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก กลัวว่าเขาจะยอมแพ้เหมือนที่ผ่านมา

อี้เอ๋อร์มองไปที่หลีโม่ เอ่ยถามเสียงเบาว่า “พระชายา เช่นนั้นตอนนี้เขาไม่มีอันตรายอะไรต่อชีวิตแล้วใช่หรือไม่?”

หลีโม่พูดว่า “ถือว่าพัฒนาไปได้เลว แต่ก็ยังมีส่วนที่อักเสบ กลัวแต่ว่าตัวจะร้อนขึ้นมาอีก อี้เอ๋อร์ เจ้าต้องใส่ใจดูแลให้มากๆ มีเรื่องอะไรก็มาบอกข้า”

“เพคะ” อี้เอ๋อร์ถามขึ้นมาอย่างไม่วางใจนัก “เช่นนั้นจะอันตรายหรือไม่?”

หลีโม่มองใบหน้าเรียวเล็กที่คิ้วกำลังขมวดมุ่นของนาง ก็ทนไม่ได้ที่ต้องเห้นนางเป็นทุกข์ใจ จึงพูดขึ้นว่า “ขอเพียงให้พัฒนาขึ้นอย่างนี้เรื่อยๆ โดยพื้นฐานแล้วจะไม่มีอันตราย”

“นั่นก็ยังไม่แน่นอน” อี้เอ๋อร์กล่าว

นางกำลังจะออกไป อี้เอ๋อร์กลับพูดว่า “ทำไมท่านไม่บอกนาง? ดูท่าทางนางอยากจะรู้มาก”

อ๋องเหลียงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่น คงไม่ดีหากข้าพูดให้นางฟัง”

“มีอะไรสำคัญหรือ? เรื่องส่วนตัวของพวกเราข้าก็เคยพูดให้พี่เฉินเอ้อฟังแล้ว” อี้เอ๋อร์กล่าว

“เรื่องส่วนตัวของเรา?” อ๋องเหลียงตาเป็นประกาย “เรื่องส่วนตัวอะไรของพวกเรา?”

อี้เอ๋อร์พูดว่า “ท่านบอกพระชายาก่อน แล้วข้าจะบอกท่าน”

หลีโม่แทบจะอยากเข้าไปจูบอี้เอ๋อร์สักที เด็กคนนี้อนาคตต้องยาวไกลแน่

นางมองไปที่อ๋องเหลียงด้วยสายตาเป็นประกาย “ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าอี้เอ๋อร์พูดเรื่องส่วนตัวของพวกเจ้าให้พี่เฉินเอ้อฟังว่าอย่างไร?”

อี้เอ๋อร์กลับไม่รู้ว่าหลีโม่กำลังพูดประชดประชันอ๋องเหลียงอยู่ นึกเพียงว่านางอยากรู้จริงๆ จึงไปตรงๆ ว่า “ข้าบอกเรื่องที่พวกเรากำลังจะแต่งงานกัน”

“จริงหรือ? เจ้าพูดเช่นนี้จริงๆ หรือ?” อ๋องเหลียงดีใจมาก เขาดูสดชื่นขึ้นมาทันที

หลีโม่ยักไหล่ทั้งสองข้าง คำพูดชมเชยนี้ไม่สามารถพูดออกมาได้ง่ายๆ แม้จะพูดก็ไม่คุ้มค่าพอให้ชมเชย

อี้เอ๋อร์มองไปที่อ๋องเหลียงแล้วพูดว่า “ข้าพูดจบแล้ว ถึงตาท่านแล้ว”

อ๋องเหลียงจะปฏิเสธอี้เอ๋อร์ได้อย่างไร อีกอย่าง เขาก็รู้ว่าในเมื่อฟางเอ๋อร์กลับมาแล้ว เรื่องนี้ยังไงก็ปิดเอาไว้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาไม่พูด เซียวโธ่ซูชิงก็ต้องพูด โดยเฉพาะเซียวโธ่ เจ้าโง่นั่นคงจะหยุดทักษะคำพูดหมาจิ้งจอกเอาไว้ไม่ได้

เพราะฉะนั้น เขาก็จะพูดเรื่องในตอนนั้นออกมา

ในตอนแรก ปีนั้นซุนฟางเอ๋อร์กับโหรวเหยาล้วนชอบซือถูเย้น แรกเริ่มมีแค่โหรวเหยาที่ชอบ เพราะซุนฟางเอ๋อร์เป็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยา อยู่ในบ้านก็ไม่ได้รับความโปรดปราน โอกาสที่จะได้พบเจอผู้คนนั้นน้อยมาก เมื่อก่อนนางพบหน้ากับซือถูเย้นน้อยครั้งมาก จนกระทั่งครั้งนั้น เป็นวันเกิดของกุ้ยไท่เฟย โหรวเหยาไม่ค่อยสบาย ฮูหยินซุนจึงพานางไปด้วย

วันนั้น ความจริงแล้วซุนฟางเอ๋อร์เองก็ไม่สบายเหมือนกัน แต่นางกลัวว่าหลังจากนางพูดไป ฮูหยินจะไม่พานางไปด้วย ดังนั้น นางต้องฝืนเอาไว้ทำเป็นแข็งแรงดี

ตอนที่กำลังเดินชมดอกไม้อยู่ในสวน นางเกิดหมดสติอย่างกะทันหัน ซือถูเย้นมาพยุงนางขึ้นมา ทั้งยังช่วยนางให้ฟื้นขึ้นมาท่ามกลางผู้คนที่กดขี่นาง ตอนนั้นซือถูเย้นยังให้คนไปตามหมอมารักษานาง เพราะเหตุนี้ นางจึงตกหลุมรักซือถูเย้น

นั่นก็คือเหตุการณ์พบกันครั้งแรกที่ผิดพลาดไปตลอดชีวิตกับท่านอ๋องผู้หล่อเหลา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม