พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 449

ตอนที่ 449 ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว

จางหยูชื่อแสดงท่าทีไม่พอใจต่อซือถูเย้น ก้าวไปพูดกับเขาว่า “องค์ชาย ท่านโปรดหยุดออกปากว่า ก่อกบฏ สองคำนี้ พวกเราเข้ามาในวังไม่ใช่เพราะจะมาก่อกบฏ ประการแรกเพราะมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ประการต่อมาคือต้องการรู้ให้แน่ชัดว่าฮ่องเต้เป็นแผลพุพองจริงหรือไม่”

ซือถูเย้นชำเลืองตามอง “จางหยูชื่อ ได้ยินมาว่ามีฉายาอีกนามหนึ่งว่าจากมีดสั้น มีมีดอันแหลมคมทีเดียว เพียงแต่ถูกคนยืมมีดมาฆ่าคน”

เหลียงไถ้ฝู้หัวเราะ “ซือถูเย้น เหตุใดใจเจ้าคิดคดเคี้ยวนัก? พูดตรงๆ ว่าจนถึงบัดนี้ยังมีสิ่งใดให้ต้องพูดอ้อมค้อมไปมา?”

“ข้าก็พูดตรงชัดเจนแล้ว ที่พูดถึงก็คือเจ้า พลนี้ของเจ้าเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง คืนนี้ลู่กงกงก็จำไว้ได้หมดแล้ว ฮ่องเต้ทราบดีว่าพวกเจ้าอุทิศตนมากเพียงใด” ซือถูเย้นพูดจบก็ไม่ต่อความยาวกับพวกเขาอีก เดินกลับเข้าไปในตำหนัก

เหลียงไถ้ฝู้เหลียวมองคนอื่นๆ ออกไปก็ไม่ได้ อยู่ต่อก็ไม่ควร ไร้หนทางล้วนไม่รู้จะอย่างไรต่อไป

ผู้คนรอบๆ พูดขึ้นมา “ไถ้ฝู้บัดนี้จะทำอย่างไรดี? ตอนนี้ประตูถูกปิดไปแล้ว คนด้านนอกก็เข้ามาไม่ได้ พวกเราก็ออกไปไม่ได้ นี่เป็นกับดักใช่ไหม กับดักของซือถูเย้นใช่รึไม่?”

เหลียงไถ้ฝู้กระวนกระวายใจเช่นกัน ไม่ได้คิดไว้สักนิดเดียว

“พวกท่านแน่ใจหรือไม่ว่าฮ่องเต้เป็นแผลพุพอง?” เขาถามองค์รัชทายาทและสนมเหลียงอีกครั้ง แต่ว่าความจริงเขารู้ว่าถามไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด แต่ทำไปเพื่อให้ตนเองสบายใจ

สนมเหลียงและองค์รัชทายาทพยักหน้า “ไม่ผิดแน่ พวกเราเห็น”

“หากเป็นแผลพุพอง เขาจะปิดบังได้อีกนานแค่ไหน?” เหลียงไถ้ฝู้ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ซือถูเย้นเล่นแง่เช่นนี้ เขาต้องการทำอะไรกันแน่?

ตอนนี้ใกล้จะผ่านไปสองชั่วยามแล้ว เขาเริ่มจะมั่นใจได้แล้วว่าฮ่องเต้คงไม่ให้พวกเขาเข้าเฝ้าแล้ว เพราะแผลพุพองไม่มีทางปกปิดได้ แม้ปกปิดก็ได้แค่แขน บนใบหน้ายังมีรอยแดงที่เด่นชัดเจนจนมองเห็นได้

แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจ หากคืนนี้ไม่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ หลังจากนี้ก็จะไม่ได้ใครได้เข้าพบอีก รอจนกว่าจะสวรรคตราชวงศ์ก็จะหาวิธียืดเวลา ไม่สามารถประกาศออกไปได้ ดังนั้นใบหน้าขององค์รัชทายาทก็จะถูกเก็บเอาไว้ด้วยเช่นกัน

ผู้คนเห็นว่าไถ้ฝู้ไม่สนใจก็เริ่มกระวนกระวายใจ ล้วนร้อนรนตำหนิไถ้ฝู้อยู่ภายในใจ

จนกระทั่งลู่กงกงออกมา “ฮ่องเต้รับสั่งว่าให้องค์หญิงองค์ชายทุกท่านไปเข้าเฝ้าในห้องบรรทมพ่ะย่ะค่ะ”

เหลียงไถ้ฝู้รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ฮ่องเต้อยากพบพวกเขาจริงรึ?

“เชิญไถ้ฝู้!” ลู่กงกงก้าวเข้าไปโค้งคำนับเชิญเขาเข้าไป

องค์รัชทายาทแสนงี่เง่าใบหน้าไร้ความคิดกังวลใดๆ พูดขึ้น “ดี หากองค์รัชทายาทอยากพบพวกเรา พวกเราก็เข้าไปกันเถอะ”

ผู้คนเข้าไปกันมากมาย เสด็จพ่อคงไม่ฆ่าคนปิดปากหรอกใช่รึไม่? คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นขุนนางระดับสูงทั้งนั้น

เหลียงไถ้ฝู้เห็นองค์รัชทายาทสบายอกสบายใจมากเกินไป รู้สึกหนักใจเหลือเกิน

เพียงแต่ บัดนี้ต้องเข้าไปเท่านั้น

ทุกคนตามลู่กงกงเข้าไปในตำหนัก ในตำหนักจุดเทียนที่มีขนาดเท่าแขนเด็กทารหอยู่สิบกว่าอัน เพื่อให้ตำหนักสว่างไสวเท่าตอนกลางวัน

ด้านหน้าตั่งมังกรมีมู่ลี่อยู่ เสี้ยหลีโม่ยืนอยู่ด้านนอกมู่ลี่ ซือถูเย้นนั่งอยู่ และฮองไทเฮาก็อยู่ในตำหนักด้วยเช่นกัน

เหลียงไถ้ฝู้คุกเข่าลงก่อนเป็นลำดับแรก หยดน้ำตาไหลลงมา “ฮ่องเต้ หม่อมฉันมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ท่านรอดพ้นปลอดภัยดีหรือไม่เพคะ?”

แต่ในใจของเขากลับยกยิ้มเย็น เข้าเฝ้าแบบนี้รึ? เขาอยู่หลังม่าน ผู้ใดจะเห็นเขาได้?

เหล่าขุนนางคุกเข่าลงตามๆ กัน “ฮ่องเต้ หม่อมฉันอยากเข้าเฝ้าท่านมากเหลือเกินเพคะ”

องค์รัชทายาทพุ่งเข้าไปจะแหวกม่านออก “เสด็จพ่อ ท่านให้ทุกคนเห็นกับตา ทุกคนล้วนอยากเห็นหน้าของท่านนะเพคะ”

เปากงกงก้าวเข้าไปจับองค์รัชทายาทเอาไว้ “ฝ่าบาท ให้หม่อมฉันทำเถิดเพคะ”

เขาและสนมเหลียงเคยเข้ามาเห็นแผลพุพอง ตอนนั้นในใจเขายังให้โอกาสองค์รัชทายาทอีกครั้ง หากองค์รัชทายาทเห็นและไม่นำไปป่าวประกาศ เช่นนั้นเขาก็จะรอดไป

แต่ว่าบัดนี้ดูทีท่าแล้วเกินเยียวยาแล้วจริงๆ ไร้เลือดเนื้อที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้มาหลายปี น่าชังนัก ทำให้ตระกูลซือถูต้องแปดเปื้อน

สัตว์ร้ายตัวนี้เลียมือคนอื่นเพียงแค่เขายื่นเศษขนมปังให้ ไถ้ฝู้หนุนนำเขา เขาจึงทรยศหักหลังได้แม้แต่เสด็จพ่อ

สองขาของสนมเหลียงอ่อนยวบ คุกเข่าลงกับพื้น น้ำเสียงอันสั่นเครือ “ฮ่องเต้ โปรดอภัยให้เขาเถอะนะเพคะ”

ฮ่องเต้ดูด้วยสายตาอันเยือกเย็น ขึ้นเสียงตอบกลับไป “เจ้าถูกลดศักดิ์เป็นสนมแล้วกลับไม่สำนึกหลาบจำเลยรึ? เรื่องในวันนี้อย่าคิดจะหลีกหนีโทษไปได้ หากเขาไม่มีเจ้าคอยเสี้ยมคอยสอน เขาคงไม่ถลำลึกทรยศต่อบรรพบุรุษ เข้ามาจับตัวนางเอาไว้เสีย เอาเข้าไปขังในคุก!”

องครักษ์เข้ามาทันทีนำตัวสนมเหลียงและองค์รัชทายาทออกไป องค์รัชทายาทร้องไห้เศร้าโศกสุดใจ เขารู้ดีกว่าครั้งนี้ต่างออกไปจากครั้งที่แล้วและครั้งก่อนๆ เสด็จพ่อต้องการลบมลทินอย่างเขาออกแล้วจริงๆ

เมื่อทุกคนเห็นว่าฮ่องเต้สั่งให้พาสนมเหลียงและองค์รัชทายาทเข้าคุก พวกเขาก็รู้ว่ายากที่จะหนีโทษได้ รีบทรุดตัวลงคุกเข่าโดยทันที

เหลียงไถ้ฝู้เป็นเพียงคนที่ไม่ทำเช่นนั้น กลับยืนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น ทำใบหน้าราวกับไม่รับรู้สิ่งใด เขาไม่จำเป็นต้องขอให้ร้องขอให้อภัยโทษ

ฮ่องเต้จ้องมองใบหน้าของไถ้ฝู้ กล่าวกับเหล่าขุนนาง “วันนี้พวกเจ้าเข้าวังมาด้วยเหตุอันใด ข้ารู้ชัดดีอยู่แล้วในใจ ไม่พ้นเรื่องข่าวลือด้านนอกที่กล่าวกันว่าข้าเป็นแผลพุพอง ผู้ใดเป็นผู้แพร่เรื่องออกไป ข้ารู้ดีเช่นกัน ในใจของพวกเจ้าก็คงรู้ดีเหมือนกัน ไม่ผิดหรอก ในคราแรกแน่ชัดว่าเป็นองค์ชาย แต่ว่าเป็นองค์ชายและพระชายาจริงๆ หรือที่แพร่ออกไป? บัดนี้พวกเจ้าก็เกือบจะได้รู้ชัดแล้ว พระชายาไม่ได้รับความเป็นธรรมเอาเสียเลย ผู้ที่เริ่มเรื่องลือข่าวเป็นผู้อื่น”

ข่าวนั้นเริ่มจากองค์ชายแพร่ออกไป ไม่ใช่พระชายา เช่นนั้นคือใครกัน?

เขาร่วมก่อกบฏมาด้วยกันกับทุกคน แต่หนีไปเสียก่อนจะลงสนาม ดังนั้นที่จริงแล้วนั้นก็คือการขุดหลุมพรางของอ๋องหนานหวย ต้องการกำจัดพรรคพวกองค์รัชทายาทและไถ้ฝู้

จางหยูชื่อหนึ่งในไส้ศึกอย่างไม่ต้องสงสัย เขาพูดโพล่งออกมาทันที “ฮ่องเต้หม่อมฉันกระทำผิดไปแล้ว ไม่ควรไปเชื่อคำยุยงของอ๋องหนานหวยผู้นั้นเลย วันนี้หม่อมฉันไม่ได้ร่วมก่อกบฏ หม่อมฉันเพียงแต่อยากมาเข้าเฝ้าเพราะอาการประชวรของท่านเพียงเท่านั้น บัดนี้ได้รู้ชัดแล้วว่าฮ่องเต้ไม่ได้ประชวรเป็นแผลพุพอง หม่อมฉันโล่งใจเหลือเกินเพคะ หม่อมฉันเต็มใจรับการลงโทษของฮ่องเต้แต่โดยดีเพคะ”

ฮ่องเต้กล่าวด้วยความเย็นชา “พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าอยากจะพูดคุยกับไถ้ฝู้เสียหน่อย”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม