พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 562

บทที่ 562 ค้นหาทั่วเมือง

ฉาวฮองเฮากล่าว “ทุกคนต่างนึกว่าซือถูเย้นมาเป่ยม่อแล้ว ก็จะไม่สามารถออกไปได้ และก็คิดว่าเขาคงไปอยากหนี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาบอกว่าจะไปก็ไปเลย ตอนนี้ผู้คนต่างรู้กันแล้วว่าหมออัจฉริยะจากแคว้นต้าโจวมา ทุกคนต่างตั้งตารอคอย หมออัจฉริยะคนนี้ไปพื้นที่ที่โรคแพร่ระบาดอยู่ ฮ่องเต้ ท่านคิดว่า จะต้องทำอย่างไรต่อดี?”

ที่จริงฉาวฮองเฮาอยากให้ฮ่องเต้ถอนคำสั่งก่อน แล้วเลื่อนการจู่โจมแคว้นต้าโจวก่อน สงครามภายนอก ความวุ่นวายภายใน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ โรคระบาด เรื่องโชคร้ายพวกนี้ล้วนตกอยู่ในแผ่นดินของเป่ยม่อ คนที่ทุกข์ทรมานไม่ใช้คนที่มีตำแหน่งสูง แต่เป็นประชาชนที่บริสุทธิ์

สถานการณ์แบบนี้ ถ้าเกิดยังส่งทหารไปรุกรานอีก ประชาชนน่าจะมีการจลาจลเกิดขึ้นแน่

แต่ว่า เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้อยากรีบทำสงครามให้จม คิดอยู่สักพักแล้วพูดว่า “ฮองเฮามีคำแนะนำอะไร?”

“หม่อมฉันมีอยู่วิธีหนึ่ง ที่สามารถทำให้ฮ่องเต้สามารถส่งทหารไปโจมตีแคว้นต้าโจว แล้วประชาชนไม่โทษท่านที่ไม่สนใจโรคระบาด นอกจากนั้นก็สามารถตั้งใจต่อสู้อย่างเดียวได้”

“รีบพูดมาเร็วเข้า!” ดวงตาของฮ่องเต้เปล่าประกาย

ฉาวฮองเฮายิ้มอย่างเบาๆ แล้วพูดว่า “ฮ่องเต้สามารถสั่งคนไปกระจายข่าว ว่าซือถูเย้นได้ขโมยดาบศักดิ์สิทธิ์ไป แล้วหนีกลับไปที่แคว้นต้าโจว จากนั้นก็สั่งให้คนค้นหาทั่วเมืองอย่างเคร่งครัด แล้วตามออกไปนอกเมือง และติดใบประกาศจับ”

เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้น ก็หัวเราะ “ฮองเฮาเป็นผู้ช่วยของข้าซะจริงๆ”

ฮองเฮาลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ “หม่อมฉันเป็นเมียหลวงของฮ่องเต้ ความคิดทั้งหมดก็เพื่อฮ่องเต้”

“พูดได้ดี” ฮ่องเต้หัวเราะ “ซือถูเย้น เจ้านึกว่าเจ้าหนีออกไป ก็จะทำให้ข้าลำบากได้งั้นเหรอ?ข้าจะโจมตีเป่ยม่อ จะต้องมีข้ออ้างด้วยเหรอ?”

ดาบศักดิ์สิทธิ์ เป็นดาบที่บรรพบุรุษเป่ยม่อได้ทิ้งเอาไว้หลังจากได้ปกครองแผ่นดินนี้ หลังจากนั้นก็ถูกเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ ส่วนในเมืองก็มีเรื่องเล่าว่า ดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้เพราะว่าฆ่าทหารมานับไม่ถ้วน แล้วดื่มเลือดสดๆมาจนอิ่ม เลยมีจิตวิญญาณอยู่ แล้วสามารถปกป้องเป่ยม่อไม่ให้แพ้ชั่วนิรันดร์ได้

ดังนั้น ประชาชนเลยเชื่อว่า ดาบศักดิ์สิทธิ์เป็นอาวุธที่ทำให้เป่ยม่อไม่พ่ายแพ้ ถ้าเกิดดาบศักดิ์สิทธิ์หายไป เป่ยม่อก็จะพ่ายแพ้

หากข่าวที่ซือถูเย้นขโมยดาบศักดิ์สิทธิ์ถูกเผยแพร่ออกไปละก็ เมื่อผู้คนเห็นซือถูเย้น ก็จะกลืนกินเขาทั้งเป็น

วันที่สอง ทั้งเมืองกำลังตามจับซื้อถูเย้น

เพราะว่าการหายไปของดาบศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ฮ่องเต้บอกเรื่องทั้งหมดให้กับสิงปู้ แล้วจากนั้นก็ประกาศให้ผู้คนได้ทราบ

บนกระดานข่าวของสำนักงานฟ้องร้อง เขียนไว้ว่าดาบศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมยไป องครักษ์เห็นด้วยตาตัวเองว่าอ๋องซื่อเจิ้งของแคว้นต้าโจวเป็นคนขโมยไป เวลาที่ขโมยไปเป็นตอนกลางคืนของวันที่แปดเวลาประมาณสี่ทุ่ม

ก็คือเวลาสี่ทุ่มของเมื่อวาน สิงปู้ไม่ได้เขียนว่าซือถูเย้นมีโทษ แค่บอกว่ามีองครักษ์เห็นเขา

ทันทีที่มีข่าวแพร่กระจายออกไป ผู้คนก็โกรธเป็นอย่างมาก แล้วต่างมีความเห็นเดียวกันว่า ต้องเปิดศึกสงคราม ห้ามให้อภัยแคว้นต้าโจวจอมเจ้าเล่ห์นี้

ผู้คนในเป่ยม่อโกรธเป็นอย่างมากกับการถูกหลอก ด้วยเฉพาะอย่างยิ่ง ซือถูเย้นและเสี้ยหลีโม่ที่มาภายใต้ชื่อเสียงที่จะมารักษาโรคบาดให้ผู้คน นี่ก็คุยกันไว้แล้ว แต่เป้าหมายที่แท้จริงกลับเป็นการขโมยดาบศักดิ์สิทธิ์ รวมไปถึงอ๋องฉีที่เป็นคนเชิญเสี้ยหลีโม่มา ก็ถูกโกรธไปด้วย

ความเชื่อใจที่ผู้คนมีต่ออ๋องฉี มาจากความยากลำบากของเขา เขาทำหลายอย่างเพื่อเป่ยม่อ และแต่ละอย่างต่างก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและยากลำบากมาก ถึงได้มีชื่อเสียงในวันนี้ ผู้คนเลยยอมฟังเรื่องที่จะหยุดสู้รบ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและเกษตรกรรมภายในประเทศ

แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เพราะเรื่องนี้ ชื่อเสียงที่เขาสะสมมายี่สิบปี จะหายไปในคืนเดียว

อ๋องฉีถูกโจมตีอย่างหนัก ก่อนหน้านี้ท่าทีของฮ่องเต้ก็ทำให้เขาลำบากใจอยู่แล้ว และตอนนี้ก็เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ผู้คนต่างโกรธเขามาก หรือแม้กระทั่ง ในเมืองตอนนี้ ก็ไม่ได้ยินใครพูดถึงเรื่องโรคระบาดอีกเลย แต่ต่างพากันพูดถึงเรื่องที่ดาบศักดิ์สิทธิ์หายไป

ใบประกาศของสิงปู้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดว่าซือถูเย้นเป็นผู้บงการเรื่องนี้ แต่ว่า ภายในเมืองหลวง ใครจะไปเชื่อว่าเขาบริสุทธิ์?

อ๋องฉีไม่ชอบฉาวกั๋วจิ้วเป็นอย่างมาก เขาเคยกล่าวโทษเขาหลายครั้งมาก บอกว่าเขาโอ้อวด ทำอะไรก็ไม่ฟังคนอื่น แล้วเลวทรามต่ำช้ามาก เพราะว่ามีฉาวฮองเฮาอยู่ ดังนั้น การกล่าวโทษพวกนี้เลยเท่ากับวัวโคลนลงทะเล

แต่ว่า ก็ทำให้ฉาวกั๋วจิ้วไม่พอใจเป็นอย่างมาก

อ๋องฉีเป็นคนพาซือถูเย้นมา แน่นอนว่าฉาวกั๋วจิ้วต้องฉวยโอกาสครั้งนี้เพื่องล้างแค้น เป็นการดีที่สุดถ้าจับซือถูเย้นได้ ตอนนี้สนใจอะไรได้ไม่มากนัก จับตัวมาตีมันก่อนแล้วให้มันยอมรับว่าอ๋องฉีเป็นคนบงการเรื่องนี้ นั้นจะดีที่สุด

สิ่งเดียวที่เขากังวลก็คือซือถูเย้นออกไปจากเป่ยม่อแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเสียโอกาสนี้ไปเปล่าๆ

วันนี้ เขาพาคนไปที่เมืองอาน

เมืองอานก็คือเมืองที่อยู่ใต้เท้าฮ่องเต้ เมื่อก่อนที่ถูกเรียกว่าเมืองอาน ก็เพราะว่าที่นี่เคยมีทหารนับแสนประจำการอยู่ที่นี่ เพื่อป้องกันเมืองหลวง มีเมืองอยู่ เมืองหลวงก็จะปลอดภัย ดังนั้นเลยถูกเรียกว่าเมืองอาน

เมืองอานนั้นใหญ่มาก หน้าทิศตะวันออกหันหน้าไปทางเมืองหลวง เพราะเป็นชานเมืองนอกเมืองหลวง ดังนั้นพื้นที่เลยมีขนาดใหญ่ และมีหมู่บ้านเป็นจำนวนมาก หลังจากที่แผ่นดินไหว บ้านเรือนในหมู่บ้านต่างได้รับความเสียหาย คนชุดแรกที่ทางรัฐส่งมา ถูกวางไว้ในหมู่บ้านมู่จ้าย

หมู่บ้านมู่จ้าย เป็นหมูบ้านหนึ่งของเมืองอาน หมู่บ้านนี้ใหญ่มาก มีคนประมาณเจ็ดแปดพันคน เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดของเป่ยม่อ

ตำแหน่องของหมู่บ้านมู่จ้ายใกล้กับทิศตะวันตก อยู่ใกล้กับชายแดนของเมืองอาวุธ ข้ามภูเขาไปหนึ่งลูก ก็จะเป็นพรมแดนของเมืองอาวุธ

แต่ภูเขาและบ้านเรือนรอบเขตแดนของเมืองอาวุธที่ใกล้หมู่บ้านมู่จ้าย เป็นของตระกูลฉินทั้งหมด

ดังนั้น สามสิบปีมานี้ เลยมีความรักดีๆเกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นชายสุดหล่อของหมู่บ้านมู่จ้ายแต่งงานกลับสาวดื้อรั้นของตระกูลฉิน

หรือไม่ก็ท่านชายน้อยที่เอาแต่ใจของตระกูลฉินแต่งานกับสาวชาวไร่ที่ใสซื่อของหมู่บ้านมู่จ้ายหลังจากแต่งงานมาหลายครั้ง ชาวบ้านในหมู่บ้านมู่จ้ายก็ได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลฉิน แล้วต่างพากันปลูกต้นผลไม้ และตอนประชุมฐานะของทุกคนก็ดีขึ้น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม