บทที่ 593 นี่ถือเป็นเวรกรรมของเจ้า
สองคนเดินมาถึงประตูด้านนอก ถอยไปถึงตรงหน้าระเบียง หมอมองดูฉินโจว พูดอย่างหนักใจว่า “แม่ทัพใหญ่ ข้าสงสัยว่า ท่านแม่ทัพน่าจะติดโรคระบาด”
ฉินโจวตกใจอย่างมาก “โรคระบาด? จะเป็นไปได้อย่างไร? ท่านปู่ไม่เคยออกจากบ้าน ไม่เคยสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่ติดโรคระบาด? จะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”
“ข้าเคยรักษาคนที่ติดโรคระบาด มีอาการเหมือนกัน มีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็ว เมื่ออาการเป็นรวมกันแล้วก็จะเป็นอันตรายมาก ถึงตอนนี้ยังไม่มียารักษา” หมอพูดขึ้น
“เป็นไปไม่ได้ โรคระบาดนี้ต้องเคยสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ท่านปู่ไม่เคยสัมผัสใกล้ชิด จะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อ
หมอโบกมือ “นี่เป็นเพียงคำวินิจฉัยของข้าคนเดียว หากแม่ทัพไม่เชื่อ ค่อยหาหมอมาตรวจอีกที หรือเข้าวังขอหมอหลวงออกมา ข้าไร้ความสามารถ บางทีอาจจะวินิจฉัยผิดก็ได้ ขอตัวก่อน ขอตัวก่อน”
หมอพูดเสร็จ แล้วก็เข้าไปเอากระเป๋ายาแล้วก็จากไป แม้แต่ใบสั่งยาก็ไม่ออกให้
ฉินโจวอึ้ง ท่านปู่ติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?
นี่ต้องสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ถึงจะสามารถติดเชื้อได้ไม่ใช่หรือ?
ฉินโจวไม่เชื่อ เรียกคนมา “พบป้ายของข้า เข้าวังไปเชิญหมอหลวงมา”
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันให้อภิสิทธิ์พิเศษแก่ฉินโจว ถือป้ายนี้สามารถไปได้ทุกที่ ล้วนไม่มีใครสามารถห้ามได้
ส่วนหมอหลวงในวัง ฮ่องเต้เคยประกาศอย่างเป็นทางการในงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง หมอหลวงในวัง ตระกูลฉินก็สามารถเรียกใช้ได้ เพียงแค่ถือป้ายเข้ามาเชิญในวังก็พอ
ความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีต่อตระกูลฉิน ทำให้นักรบของเป่ยม่อต่างก็รู้สึกมีกำลังใจ เพราะหากฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับนักรบ พวกเขาก็จะมีโอกาสได้สร้างผลงานในสักวัน
ตอนนี้ ฉินโจวคิดถึงอภิสิทธิ์พิเศษพวกนี้แล้ว รู้สึกเพียงน่าขำน่าเสียใจเท่านั้น ใช่ ฮ่องเต้โปรดปรานนาง ทุกคนในแผ่นดินต่างก็อิจฉา ขุนพลก็ดี ทหารก็ดี ต่างก็ใช้เลือดในกายของตัวเอง เพื่อแลกกับเกียรติยศพวกนั้น
สงบสติ แล้วนางก็ค่อยๆนั่งลง เรียกองครักษ์ประจำตัวมา พูดสั่งว่า “เจ้าไปสืบดู องค์รัชทายาทไปต้าโจวแล้วหรือยัง”
องครักษ์จิ่งลังเลอยู่แป๊บหนึ่งแล้วพูดว่า “แม่ทัพ องค์รัชทายาทยังอยู่ในเมืองหลวง”
ฉินโจวหลับตาลง ถอนหายใจยาวๆ แล้วก็หัวเราะเย้ย “ไปสืบดู เป็นความหมายของฮองเฮาหรือเป็นความหมายของฮ่องเต้”
จิ่งพูดขึ้นเสียงเบาว่า “แม่ทัพ ที่จริงไม่ว่าจะเป็นความหมายของใครก็ไม่ต่างกัน องค์รัชทายาทยังอยู่ในเมืองหลวง พวกข้าก็ผิดความมั่นใจฉันยาก่อนแล้ว”
“ใช่ พวกข้าผิดคำมั่นสัญญาแล้ว แปลว่าต้าโจวโจมตีกองทหารโย่วอี้...” ฉินโจวลุกขึ้นยืนทันใด แล้วก็ร้อนใจไปทั้งตัว “เจ้ารีบไปสืบดู ที่กองทหารโย่วอี้ ถูกโจมตี เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“รับทราบครับ” จิ่งรับคำสั่งแล้วก็ไป
ฉินโจวสั่นไปทั้งตัว เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นการโค่นล้มชีวิตของนาง
นางคิดมาตลอดว่า ตัวเองเป็นที่ภาคภูมิใจของตระกูล อย่างน้อย ตอนนี้ตระกูลฉินก็พึ่งพานางอยู่ถึงได้ไม่ล้มลง
แต่คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นแค่หมากที่จะถูกทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ สิ่งที่นางต้องทำก็คือประคองน้องชายขึ้นมา ค้ำจุนตระกูลฉินแทนนาง และนางเป็นคนที่ควรเสียสละเพื่อตระกูลฉิน
ทุกอย่างที่นางแรกมาด้วยเลือดสดๆ ล้วนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง
ความจริงนี้โหดเหี้ยมเกินไป
แม่ทัพฉินค่อยๆฟื้นขึ้นมา ไออยู่ครั้งหนึ่ง
ฉินโจวหันไป มองเขาอยู่ไกลๆ
แม่ทัพฉินก็มองดูนาง แล้วก็โบกมือ ให้ทุกคนออกไป
“โจว เจ้าทำให้ปู่ผิดหวังมาก เดิมทีปู่คิดว่า เจ้าจะไปทำตามคำพูดของปู่” เสียงของเขาเหนื่อยล้ามาก แฝงไปด้วยความผิดหวังอย่างรุนแรง
สีหน้าฉินโจวไม่แสดงอาการใดๆ “ท่านปู่ผิดหวัง เพราะรู้สึกว่าต่อให้ข้ารับรู้ถึงเบื้องหลังความโหดเหี้ยมแล้ว จะยอมรับแต่โดยดี”
“ตระกูลฉิน มีใครที่ไม่เสียสละ? ดูป้ายหน้าประตูจวนนั่นสิ เปื้อนเลือดบรรพบุรุษของพวกข้าไปแล้วเท่าไหร่? ครอบครัวแม่ทัพที่มีชื่อเสียง ล้วนแรกมาด้วยเลือดกับความเสียสละ ปู่ในตอนนี้ ก็ไม่เป็นอย่างเจ้าหรือ อาบเลือดสู้รบ เพื่อแลกกับความดีความชอบมาให้กับตระกูลฉินไม่ใช่หรือ?”
นางไม่เคยคิดเลยว่า ความ “ไม่ได้เรื่อง” ของฉินเป้า เป็นเพราะชีวิตของเขาเรียกร้องไม่มาก ความสุขในวัยเด็กเขายังจำมาตลอด
ตลอดทางที่พวกเขาเดินมา ต่างหลงลืมหมดแล้ว ฉินเป้ายังรักษาจิตใจเดิมอยู่
ฉินเป้าเดินมาทีละก้าว มองดูนาง น้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ไม่มีพี่ใหญ่แล้ว เจ้าก็จะตายหรือ?”
ฉินโจวรีบหันตัวไป เอามือปิดปากแล้วร้องไห้
หลายปีมานี้ ลำบากแค่ไหน ทรมานแค่ไหน นางล้วนไม่เคยหลั่งน้ำตาแม้เพียงนิด เพราะท่านปู่เคยพูดไว้ ถึงแม้นางจะเป็นผู้หญิง แต่ทุกคนในเป่ยม่อ ล้วนเห็นว่านางเป็นวีรบุรุษเพียงคนเดียว วีรบุรุษจะไม่มีน้ำตา
ความสะอึกสะอื้นของน้องชาย เป็นเหมือนดั่งดาบคม แทงทะลุในใจนาน
“พี่สาว” ฉินเป้ายื่นมือกอดนางไว้ในทันใด นางรู้สึกได้ว่าร่างกายเขากำลังสั่นเทา เขากำลังกลัว “เจ้าไม่ต้องไป ไม่ต้องไปสู้รบแล้ว กลับมาเถอะ ทุกครั้งที่จะเจ้าไป ข้าล้วนกลัวว่าเจ้าจะกลับมาไม่ได้แล้ว”
ฉินโจวเงยหัวขึ้น ไล่น้ำตาไม่ให้ไหล หายใจเข้าลึกๆ ยื่นมือตบตรงหลังมือเขาหนึ่งที หลังจากนั้น ผลักเขาออกแล้วก้าวยาวๆเดินออกไป
นางไม่มีทาง แสดงความอ่อนแอของตนออกมาต่อหน้าใคร นางจะอ่อนแอไม่ได้
ตระกูลนี้ยังกดทับอยู่บนบ่าของนาง
ฉินเป้ามองดูแผ่นหลังของนาง เช็ดน้ำตาแล้วเดินเข้าไปในห้อง
เขามองคนบนเตียงอย่างเกลียดชัง คนคนนี้ เอาแต่ใจมาทั้งชีวิต ควบคุมคนอื่นมาทั้งชีวิต
“โง่เขลา โง่เขลา” แม่ทัพฉินมองดูเขา เมื่อกี้ได้ยินสองพี่น้องคุยกัน เขาโกรธมาก กลับลุกขึ้นมาไม่ได้ “ที่นางทำไปทุกอย่าง ก็ล้วนเพื่อเจ้า เพื่อให้เจ้าได้สืบสานต่อไปในภายหน้า เจ้าในฐานะผู้สืบตระกูลตระกูลฉิน จะต้องสืบทอดเกียรติยศของวงศ์ตระกูล หากไม่มีนาง อาศัยความสามารถของเจ้า สามารถทำอะไรได้?”
ฉินเป้าหัวเราะเย้ย “ข้าไม่ต้องการให้นางเสียสละเพื่อข้า ข้าไม่เหมือนกับเจ้า ในใจเจ้าไม่มีความเป็นสายเลือด แต่ว่าข้ามี หมอบอกว่าเจ้าติดโรคระบาด นี่ถือเป็นเวรกรรมของเจ้า”
พูดเสร็จ เขาก็หันตัวเดินออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม
จบแบล้วววววว...
900 ตอนแล้ว ชีวิตของหลีโม่แทบหาความสุขไม่เจอเลย แถมลูกก็ถูกคนอื่นเอาไปทิ้งอีก สงสารจับใจ...
ตะว่าไปเรื่องนี้หมุยเฟยกับฮ่องเต้เลวร้ายแบบกินกันไม่ลงนะ ทำร้ายทุกคนที่ดีกับตัวเอง แล้วแางว่าจำเป็นๆ กลับเป็นพวกอี๋เฟยซะอีกที่แย่งแยกพวกำองชัดเจนไปเลย หมุยเฟยนี่นับว่าเป็นคนที่ได้ดีจากการเนรคุณผู้คนรอบข้างโดยแท้...
ฮ่องเต้กับลู่กงกงนี่ ตอนตายคงมีกันแค่ 2 คนละนะ...
อี๋เฟยนี่คือนางฉลาดสุดละในบรรดาเมียของเต้...
ท่านซือถูเย่นใจเย็นๆจากสุราก่อนเจ้าค่ะ สนใจยัยน้องด่วนเด่วจะโดนมิใช่น้อย55555...
โธ่ๆท่านซือถูเย่น เค้าลางกลัวว่าที่ภรรยาในอนาคตมาแต่ไกล รีบซ่อนสุราเลยนะ แต่ไม่น่าจะทัน หลอกใครก็หลอกได้แต่ไม่ใช่กับแม่นางหลีโม่555555...