ผู้คนที่จ้องมองภาพเหตุการณ์เบื้องหน้ายังไม่เข้าใจในสิ่งที่หลินเมิ่งหวันกำลังทำอยู่งั้นหรือ?
ฉินฉางซูแสดงสีหน้าเย็นชาพลางจับไหล่ของหลินเมิ่งหวันทันที “น้องเมิ่งหวัน พี่เอง”
หลินเมิ่งหวันคายเลือดที่มีพิษออกมาอย่างไม่ลดละ “ท่านพี่ หากมีคนมาทำเพิ่มอีกคนละก็มันอาจจะเป็นการแพร่พิษสู่อีกคนได้ พี่วางใจเถิด ข้าไม่ทำให้ร่างกายตนเองได้รับบาดเจ็บหรอก ข้ารู้วิธีการถอนพิษดี เพียงพวกเราเร่งกลับเมืองหลวง ข้ากับจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยก็จะไม่เป็นกระไรอย่างแน่นอน!”
เสียงของหลินเมิ่งหวันสั่นเครือไม่ชัดเจน แต่กลับมีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ และยังเสริมกำลังแรงใจให้กับผู้อื่นอีกด้วย
เสียงสนั่นในยามราตรีของรถม้าจำนวนหนึ่งที่กำลังรีบเร่งเข้าเมืองเพื่อมุ่งหน้าไปจวนฉิน
หลินเมิ่งหวันรู้ดีว่าการพาตัวฉู่โม่หยวนไปจวนฉินนั้นผิดต่อจารีต แต่ในยามนี้ไม่มีแห่งใดเหมาะสมที่จะพาฉู่โม่หยวนไปรักษาตัวได้ดีไปกว่าจวนฉินอีกแล้ว
กู่เยว่หานพำนักอยู่ที่จวนฉิน อีกทั้งโรงยาและอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาก็มีพร้อมสรรพ ฉู่โม่หยวนไปอยู่ที่นี้คงจะสามารถได้รับการช่วยเหลือรักษาได้อย่างทันท่วงที
กู่เยว่หานได้รับทราบข่าวตั้งแต่ต้นแล้ว ตอนนี้ได้ตระเตรียมยาชนิดต่างๆ และอุปกรณ์เครื่องมือไว้ที่โรงยาเรียบร้อยแล้ว
เมื่อหลินเมิ่งหวันมาถึง กู่ฉู่เซียวก็นำยาต้มสมุนไพรถ้วยหนึ่งมาให้ทันที
“ศิษย์น้อง นี่เป็นยาขับพิษ เจ้าเร่งดื่มเถิด......”
กู่ฉู่เซียวยังไม่ทันกล่าวจบ หลินเมิ่งหวันก็รีบรับถ้วยยาและดื่มยาต้มรสขมนั้นจนหมดเกลี้ยงในทันที
“ขอบใจศิษย์พี่” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย ใบหน้าซีดเซียวเต็มไปด้วยความกังวลและเหนื่อยล้า
รสขมจากยาในปากยังมิทันเจือจางหลินลงเมิ่งหวันก็ยื่นถ้วยยาไว้ในมือของกู่ฉู่เซียวก่อนที่จะเร่งฝีเท้าไปเตียงนอน
ในขณะที่กู่เยว่หานกำลังจับชีพจรให้กับฉู่โม่หยวน หลินเมิ่งหวันก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ ข้าได้ทำการจัดการแผลขั้นเบื้องต้นให้กับจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ย และทำการดูดเลือดที่มีพิษ แต่ว่าพิษนี้ร้ายแรงยิ่งนัก จึงต้องเชิญท่านมาถวายการรักษาอย่างละเอียดให้กับจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ย ข้ารู้สึกว่าควรที่จะฝังเข็มตรงจุดเห่อกู่ จุดไป่หุ้ย......ให้กับจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ย”
หลินเมิ่งหวันแจ้งจุดฝังเข็มตามตำแหน่งต่างๆ บนร่างกายอย่างรวดเร็ว เพื่อให้กู่เยว่หานทำการฝังเข็มรักษา
ขณะที่กู่เยว่หานฟังหลินเมิ่งหวันกล่าว เขาก็รู้สึกเกิดประหลาดใจขึ้นอยู่บ้าง
แต่เมื่อมองสีหน้าของหลินเมิ่งหวัน กู่เยว่หานก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ในใจกระสับกระส่าย เขารอจนหลินเมิ่งหวันกล่าวจบ แล้วยกมือขึ้นทันที พลางหันหน้าไปแล้วชี้ยังบริเวณหน้าอกของหลินเมิ่งหวัน
หลินเมิ่งหวันเริ่มเหม่อลอย เริ่มเห็นภาพตรงหน้าเป็นสีดำสนิท และร่างกายก็อ่อนยวบลง
กู่เยว่หานที่ดูออกตั้งแต่แรกแล้วก็พลันเข้าไปประคองตัวหลินเหมิ่งหวันไว้ พลางหันไปกล่าวกับฉินฉางซูว่า “พานางไปพักผ่อนเถิด ทางนี้ข้าคนเดียวจัดการได้”
หลินเมิ่งหวันโดนพิษเข้าให้แล้ว มองจากสีหน้าของนางแล้วอาการดูไม่ดีไปกว่าฉู่โม่หยวนแต่อย่างใด จึงรีบโอบตัวนางไว้อย่างรวดเร็ว
หากว่าหลินเมิ่งหวันยังไม่ไปพักผ่อนอีกละก็ เกรงว่าฉู่โม่หยวนอาการดีขึ้น แต่หลินเมิ่งหวันกลับทรุดหนักลง
ฉินฉางซูและคนอื่นๆ พาหลินเมิ่งหวันกลับไปส่งที่ห้องของนางในจวนฉินทันที กู่เยว่หานออกใบสั่งยาและให้กู่ฉู่เซียวไปจับชีพจรนาง ส่วนตนนั้นจะไปฝังเข็มให้กับฉู่โม่หยวน
ทว่าในใจของเขากลับอุทานด้วยความรู้สึกตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะจุดฝังเข็มที่หลินเมิ่งหวันเพิ่งจะกล่าวมานั้นล้วนถูกต้องทั้งสิ้นอย่างมิน่าเชื่อ
ครั้งนี้เขาจากไปเพียงแค่ครึ่งปีกว่า แต่เหตุใดทักษะการแพทย์ของหลินเมิ่งหวันถึงพัฒนาได้รวดเร็วเยี่ยงนี้?
กู่เยว่หานอดคิดไม่ได้ว่า หรือนี่เป็นเพราะหลินเมิ่งหวันแอบไปเรียนกับอาจารย์ท่านอื่นแล้วกันแน่?
เสียงอึกทึกในยามราตรีในเมืองจวนฉิน “ผู้คนในลานบ้านต่างพลุกพล่านราวกับตลาด”
เรื่องราวการถูกลอบสังหารของฉู่โม่หยวนได้ถูกแพร่งพรายออกไป ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง และก็ตึงเครียดไปตามๆ กัน
เมื่อหลินซ่างซูทราบข่าวที่หลินเมิ่งหวันพาตัวฉู่โม่หยวนไปที่จวนฉินก็ตกใจเป็นอย่างมาก จึงเร่งตามไปโดยมิรอช้า
ถึงแม้ว่าหลินเมิ่งหวันจะมีความเข้าใจในทางการแพทย์ ทั้งยังหมั้นหมายกับฉู่โม่หยวนแล้ว ทว่าเหตุใดนางถึงกล้าตัดสินใจพาฉู่โม่หยวนไปจวนฉินกันเล่า?
เฝ่ยชุ่ยและเจินจูเดินเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง หลินเมิ่งหวันจ้องมองไปที่หัวเตียงด้วยความตกใจกลัว มึนงงอยู่ครู่หนึ่งถึงจะรู้สึกตัวว่าตนกำลังนอนอยู่ภายในห้องที่
เมื่อนึกถึงฉู่โม่หยวนขึ้นมานางพลันรีบพลิกผ้าห่มออกแล้ววิ่งไปที่โรงยาด้วยความร้อนรนทันที
กลิ่นฉุนของยาโชยมาเตะจมูกนาง หลินเมิ่งหวันรีบวิ่งเข้าไปไปข้างใน ภายใต้แสงอรุณยามเช้าตรู่ฉู่โม่หยวนหลังพิงอยู่ตรงหัวเตียงขณะกำลังดื่มยา นางรู้สึกโล่งอก ในที่สุดใจที่กังวลก็ผ่อนคลายมากขึ้น
เมื่อฉู่โม่หยวนมองมาที่หลินเมิ่งหวันสีหน้าก็เปลี่ยนไปในบัดดล
“เหตุใดถึงแต่งกายเยี่ยงนี้......” ฉู่โม่หยวนพลันจะลุกขึ้นด้วยความวิตกกังวล
แม้ตอนนี้จะเป็นคิมหันต์ฤดู แต่ยามรุ่งสางเช่นนี้ยังคงมีความหนาวเย็นอยู่บ้าง หลินเมิ่งหวันในเวลานี้สวมเพียงแค่ชุดตัวในแล้ววิ่งออกมา หากว่าเป็นไข้หวัดขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร?
แต่ฉู่โม่หยวนยังกล่าวไม่จบก็สั่งให้กู่เยว่หานช่วยพยุงตัวเขาลงนอนบนเตียงทันที
“เหตุใดต้องสนใจว่านางแต่งกายเช่นใดกันเล่า? เจ้ารีบนอนลงเถิด” กู่เยว่หานแขวะฉู่โม่หยวนไปหนึ่งประโยค พลางหันหน้าไปมองที่หลินเมิ่งหวัน “เจ้าทั้งสองคนทำให้ผู้อื่นไม่ต้องกังวลใจบ้างได้หรือไม่”
“มานั่งตรงนี้เพื่อข้าจะวัดชีพจรให้กับเจ้า ในเมื่อมาแล้วก็นำยากลับไปดื่มด้วยล่ะ” กู่เยว่หานเรียกให้หลินเมิ่งหวันมานั่งพลางสั่งกำชับกู่ฉู่เซียวโดยไม่แหงนหน้าขึ้นมาว่า “เซียวเอ๋อร์ เอายาศิษย์น้องของเจ้ามานี่”
กู่ฉู่เซียวขานรับแล้วพลันออกไปทันที
สายตาของหลินเมิ่งหวันจับจ้องไปที่ฉู่โม่หยวน พลางเดินมานั่งข้างหน้าตามคำสั่ง ขณะที่นั่งลงนั้นก็พลันเห็นว่ามีคนนั่งอยู่ด้านข้างเตียง ซึ่งเป็นเสด็จพี่ของฉู่โม่หยวน ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ย
หลินเมิ่งหวันงุนงงครู่หนึ่งก่อนที่จะรีบยืนขึ้นทำความเคารพ
ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยฉู่จิ่นจ้านทรงแย้มพระโอษฐ์พลางโบกพระหัตถ์ “ไม่ต้องโค้งคำนับหรอก เหตุการณ์เมื่อคืนน้องหกได้แจ้งให้ข้าทราบแล้ว หากเจ้าต้องการสละชีพเพื่อช่วยชีวิตจริงๆ น้องหกคงไม่บาดเจ็บเจียนตายเช่นนี้หรอก”
“คุณหนูหลินนั้นมีความรักความผูกพันอย่างลึกซึ้งต่อน้องหก ยอมแม้กระทั่งสละชีวิตของตนเพื่อตายแทนเขาได้ เมื่อข้ากลับไปยังพระราชวังแล้วจะนำเรื่องนี้บังคมทูลกับเสด็จพ่อ เสด็จพ่อควรทรงทราบว่าเจ้าทั้งสองมีจิตปฏิพัทธ์ที่ดีต่อกันและพระองค์จะต้องทรงปลื้มพระทัยเป็นแน่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก