ภพนี้ตราบภิรมย์รัก นิยาย บท 32

ทุกคนในห้องต่างพากันตกใจ หลินเมิ่งหวันยิ้มบางๆ ออกมา

“ในเมื่อท่านพี่ไม่ยอมให้เมิ่งหวันตรวจดูอาการ ก็ให้นางไปเชิญหมอท่านอื่นก็แล้วกัน”

พูดจบ หลินเมิ่งหวันก้มตัวคำนับหลินซ่างซู ส่งสายตาให้เฝ่ยชุ่ยกับเจินจู แล้วหันหน้าเตรียมตัวเดินออกไป

หลินซ่างซูตกตะลึง สีหน้าโกรธเคือง

“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”

เสียงโกรธดังขึ้นมาจากข้างหลัง แต่หลินเมิ่งหวันก็ยังไม่ยอมหยุดเดิน

หลินซ่างซูยิ่งโกรธ เดินไปข้างหน้า จับแขนของหลินเมิ่งหวันไว้พูดเสียงโกรธเคืองขึ้นว่า:“หลินเมิ่งหวัน ในสายตาเจ้า ยังมีพ่อคนนี้อยู่อีกไหม?”

หลินเมิ่งหวันมองไปที่เขา ไม่มีความกลัวเลย “เมิ่งหวันมีท่านพ่ออยู่ในสายตาอยู่แล้ว แต่ในสายตาของท่านพ่อ ยังไม่เมิ่งหวันลูกคนนี้อยู่ไหม?”

หลินซ่างซูยืนมองสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง เพราะไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี

หลินเมิ่งหวันยิ้มที่มูมปากเล็กน้อย เก็บรอยยิ้มไว้ใต้ตา “ท่านพ่อ เมิ่งหวันเป็นลูกสาวของท่าน ไม่ใช่หมอข้างนอก และยิ่งไม่ใช่คนในจวน ในขณะที่ท่านสั่งให้เมิ่งหวันช่วยท่านพี่ตรวจดูอาการนั้น เคยคิดบ้างไหมว่าเมื่อกี้เมิ่งหวันเพิ่งถูกรังแก?”

หลินซ่างซูขมวดคิ้ว “พวกเราทุกคนล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน หรือเจ้าต้องให้เป้ยเหยาคุกเข่าขอโทษกับเจ้าให้ได้ถึงจะพอใจ?”

หลินเมิ่งหวันถามกลับว่า:“แล้วมันไม่สมควรเหรอ?”

หลินซ่างซูสะอึกในใจ

สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าผิวพรรณผ่องใส ใบหน้างดงาม

แต่เวลานี้สีหน้าของนางเย็นชา ดวงตาขาวดำที่แยกออกอย่างชัดเจนนั้นกำลังเช่นแบกน้ำแข็งที่ละเอียด หนาวเย็นและว่างเปล่าไว้

เมื่อถูกนางมองแบบนั้น หลินซ่างซูรู้สึกไม่เป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูก

หลินเมิ่งหวันไม่พูดอะไรต่ออีก ก้มหน้าคำนับหลินซ่างซู แล้วพาเจินจูกับเฝ่ยชุ่ยเดินออกไป

หลินเมิ่งหวันก้มหน้าพูดกับเจินจูว่า:“หาคนสามสี่คน ยกกระถางต้นไม้กลับไป”

“เจ้าค่ะ!”

เจินจูตอบกลับอย่างดีใจ แล้วรีบออกไปเรียกคนอื่น

เฝ่ยชุ่ยเดินตามหลินเมิ่งหวันออกไปจากสวนดอกบัว ถึงถามเสียงต่ำออกมาว่า:“คุณหนูรอง ทำไมคุณหนูถึงไม่ช่วยคุณหนูใหญ่ตรวจดูอาการหล่ะ?”

ถึงแม้ว่าเรื่องที่หลี่อี๋เหนียงกับหลินเป้ยเหยาใส่ร้ายหลินเมิ่งหวัน เป็นเรื่องที่น่าโกรธ

แต่ว่า ที่หลินเมิ่งหวันมาที่สวนดอกบัว ก็เพื่อต้องการจะเปิดโปงเรื่องที่หลินเป้ยเหยาแกล้งป่วยไม่ใช่เหรอ?

วันนี้นางไม่ได้ช่วยหลินเป้ยเหยาตรวจดูอาการ แล้วจะเปิดโปงได้อย่างไร?

หลินเมิ่งหวันยิ้มออกมาเล็กน้อย “ไม่ต้องตรวจชีพจรหรอก ในเมื่อหลินเป้ยเหยาอยากป่วย ก็ให้นางป่วยไปแล้วกัน”

วันนี้ที่นางไป ก็แค่ต้องการไปตรวจสอบว่าหลินเป้ยเหยาแกล้งป่วยหรือเปล่า ไม่ได้ต้องการจะเปิดโปงนาง

ส่วนหลินเป้ยเหยากับหลี่อี๋เหนียงก็แสดงท่าทางเช่นคนทำผิด ก็ยิ่งยืนยันได้ว่าการคาดคะเนของหลินเมิ่งหวันนั้นถูกต้อง

เช่นอย่างที่หลินเมิ่งหวันพูด เทศกาลดอกไม้ใกล้ถึงแล้วหลินเป้ยเหยาอยากป่วยก็ให้นางป่วยไป งั้นก็ไม่ต้องเข้าร่วมงานนี้!

ชาติก่อน หลินเมิ่งหวันถูกหลินเป้ยเหยาสะกดมนต์จึงพลาดงานเทศกาลดอกไม้ ข่าวลือภายนอกต่างลือกันว่านางไม่มีบุญและไม่มีศีลธรรม จึงไม่กล้าไป

ส่วนหลินเป้ยเหยากลับไปเฉิดฉายในงานเทศกาลดอกไม้ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง

เมื่อได้กลับมาเกิดอีกชาติ หลินเมิ่งหวันถึงเข้าใจ หลินเป้ยเหยาต้องการทำลายนางตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพื่อจะได้เหยียบนางขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งแทนนางนั่นเอง

ชาตินี้ นางจะไม่ให้หลินเป้ยเหยามีโอกาสแบบนี้อีกเด็ดขาด!

เทศกาลดอกไม้ นางต้องไปมันแน่นอน

อีกอย่าง นางจะใช้โอกาสของเทศกาลดอกไม้ครั้งนี้กู้ชื่อเสียงกลับมา และต้องได้เป็นอันดับหนึ่ง แต่งงานเข้าไปในจวนจิ่งอ๋องอย่างมีเกียรติ!

หลินเมิ่งหวันพูดออกมาว่า:“ไปสวนสน พวกเราไปหาท่านย่ากัน”

อยากเป็นอันดับหนึ่งในเทศกาลดอกไม้คงไม่ใช่เรื่องง่าย นางต้องไปหาบรรดาพี่ชายต่างๆ “เพื่อเรียนรู้วิชาเพิ่มเติม”

วันนั้นในตอนเย็น หลินเมิ่งหวันพาเฝ่ยชุ่ยกับเจินจูไปที่จวนฉิน

หลินเมิ่งหวันเงยหน้าขึ้น มองไปที่ฉินอี้เสียนแล้วยิ้ม “พี่ห้า พี่มาได้อย่างไร?”

ฉินอี้เสียนยิ้มออกมาแล้วพูดขึ้นว่า:“มาบอกข่าวดีกับเจ้า วันนี้หลินเป้ยเหยาป่วยหนักจนลุกจากเตียงไม่ได้แล้ว”

หลินเมิ่งหวันตาโตใสขึ้นมาทันที แล้วยื่นจอบขุดอันเล็กไปให้เฝ่ยชุ่ยที่อยู่ด้านข้าง ตบดินในมือออกแล้วลุกขึ้น

นางมองฉินอี้เสียนแล้วพูดขึ้นว่า:“จะบอกว่าเป็นข่าวดีได้อย่างไร?พี่ใหญ่ป่วยหนัก ข้าเป็นห่วงยิ่งนัก”

“ชิ……” ฉินอี้เสียนสบทเสียงเบาๆ ออกมา “ถ้าเป็นเมื่อก่อน เจ้าบอกว่าเป็นห่วง ข้าอาจจะเชื่อ แต่มาวันนี้……”

ฉินอี้เสียนหยุดไปสักครู่ ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วมองไปที่หลินเมิ่งหวันพูดขึ้นว่า:“ถ้าเจ้าเป็นห่วงหลินเป้ยเหยาจริง พระอาทิตย์คงจะขึ้นจากทางทิศตะวันตกแล้ว”

เรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนหลินเมื่อวัน คนที่จวนฉินต่างรู้กันหมดแล้ว

หลินเป้ยเหยาไม่สบาย จวนหลินตามหมอมามากมาย แต่กลับไม่ไปหอถงอานของฉินลั่วเฟิง และยังไม่ยอมให้หลินเมิ่งหวันช่วยหลินเป้ยเหยาตรวจดูอาการอีก มันต้องมีอะไรผิดปรกติแน่นอนอยู่แล้ว

แต่วันนี้ คนของจวนหลินกลับไปเชิญฉินลั่วเฟิง ต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน

หลินเมิ่งหวันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ยิ้มแล้วพูดออกมาว่า:“พระอาทิตย์ไม่ได้ขึ้นมาทางทิศตะวันตก แต่ข้าเป็นห่วงนางจริงๆ”

“ข้าเป็นห่วง ว่านางจะหายป่วยเร็วเกินไป”

ฉินอี้เสียนตกตะลึง แล้วหัวเราะเสียงดังออกมา

มองใบหน้าที่เจ้าเล่ห์ของหลินเมิ่งหวันคนนี้ เขารู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อยจึงเอาพัดเล็กๆ ในมือเคาะเบาๆ ลงไปที่ศีรษะของนาง “หัวสมองของเจ้าดูเช่นจะฉลาดขึ้น รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าจะพาเจ้าไปหอเมี่ยวอิง”

เมื่อวันหลินเมิ่งหวันกลับมาที่จวน บอกว่าจะให้บรรดาพี่ชายสอนวิชาต่างๆ ให้นาง เพื่อจะได้เตรียมตัวไปแข่งขันที่งานเทศกาลดอกไม้

ทุกคนในจวนฉินต่างพากันดีใจ และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก

การแข่งขันในเทศกาลดอกไม้แบ่งออกเป็น พิน(ทำนอง) หมากรุก เขียนหนังสือ วาดรูป เต้นรำ และความสามารถด้านวรรณกรรม

ดังนั้นดูตามความสามารถของพี่ชายแต่ละคน ทุกคนในจวนฉินจึงได้จัดวาง “ตารางการเรียน” ที่เหมาะสมให้หลินเมิ่งหวันแล้ว

วันนี้ “ครู” ที่รับผิดชอบสอนวิชาให้หลินเมิ่งหวันก็คือฉินอี้เสียน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก