รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินชิงรุ่ยมลายหายไป“เหตุใดถึงกล่าวพูดเช่นนี้เล่า?”
หลินเมิ่งหวันจัดการกับความรู้สึกนานแล้ว เลยเอาเรื่องเมื่อคืนนี้ที่เกิดขึ้นที่งานแข่งขันโปโลของแม่นางอู๋บอกกับฉินชิงรุ่ยเลย
นางมองฉินชิงรุ่ย แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า“ท่านตา คนมีชื่อเสียงมากย่อมง่ายต่อการตกเป็นเป้ามีคนอิจฉาริษยา ตั้งแต่สมัยโบราณคุณูปการมากล้น จะเกิดความสงสัยคลางแคลงใจ จุดจบน่าสังเวชมากมายนับไม่ถ้วน แม้จวนฉินของพวกเราไม่ได้มีคุณงามความดีอันใหญ่หลวงเป็นที่คลางแคลงใจของราชา แต่จวนฉินร่ำรวย เกรงว่าไม่เป็นสองรองใครของแคว้นตงเยว่”
“ความร่ำรวยมหาศาลเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องมีคนมองจนอิจฉาตาร้อน พวกเราไม่ระมัดระวังไม่ได้เลยนะ”
หลินเมิ่งหวันจำได้ เมื่อชาติปางก่อนหลี่จิ่นซูเคยเผลอไผลพูดกับนางว่า ความมั่งคั่งทรัพย์สินที่จวนฉินสั่งสมมานั้นมีมากเกินกว่าท้องพระคลัง
หลังจากนั้นไม่กี่ปี แคว้นตงเยว่ได้ทำการก่อสร้างเป็นการใหญ่ บริเวณเขตชายแดนถูกศัตรูรุกราน เรื่องทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนจำเป็นต้องใช้เงิน
แคว้นตงเยว่ถึงจะอุดมสมบูรณ์ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถ“ใช้จ่ายได้ตามอำเภอใจได้”
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครสามารถปล่อยชิ้นเนื้ออันโอชะอย่างจวนฉินได้ล่ะ?
หลินเมิ่งหวันนึกถึงคำพูดที่หลินเป้ยเหยาพูด ใจก็รู้สึกบีบรัดแน่นขึ้นอย่างรุนแรง ทว่าจู่ๆฉินชิงรุ่ยกลับหัวเราะออกมา
หลินเมิ่งหวันมองไปทางฉินชิงรุ่ยด้วยความสงสัย กลับได้เห็นใบหน้าที่ตื่นเต้นกับปลื้มอกปลื้มใจของฉินชิงรุ่ยมองมาทางนาง
ฉินชิงรุ่ยยกนิ้วโป้งให้กับหลินเมิ่งหวัน กล่าวชื่นชมขึ้นว่า“เมิ่งหวัน ก่อนหน้านี้ท่านตาประเมินค่าเจ้าต่ำไป ไม่เคยคิดเลยว่าครั้งนี้เจ้าไม่เพียงแต่ใจเย็นมากขึ้น แม้แต่ความคิดความอ่านยังแปรเปลี่ยนเป็นละเอียดรอบคอบด้วย”
“ดี ช่างดีจริงๆ”นัยน์ตาของฉินชิงรุ่ยเปล่งประกายขึ้น“เมื่อสมัยนั้นท่านแม่ของเจ้าเฉลียวฉลาดมาก ถือว่าดีไม่ด้อยไปกว่าน้าสามคนนั้นของเจ้าเลยแม้แต่น้อย แต่น่าเสียดายนาง……เจ้าไม่เหมือนแม่ของเจ้าที่อ่อนโยนเก็บความคิดความรู้สึกไว้ภายในใจ ทว่าก็เป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่งนะ”
“แข็งแกร่งหน่อยจะดี ท่านตาก็จะวางใจลงได้บ้าง”น้ำเสียงของฉินชิงรุ่ยสะอื้นไห้ เห็นได้ชัดว่าเขาคิดถึงฉินก่วนหว่านท่านแม่ของหลินเมิ่งหวันมาก
หลินเมิ่งหวันรีบปลอบประโลมฉินชิงรุ่ย ฉินชิงรุ่ยเลยยิ้มตบเบาๆลงที่มือของหลินเมิ่งหวัน แล้วกล่าวว่า“ข้ามิเป็นไรหรอก”
“เมิ่งหวัน เจ้าคิดสิ่งเหล่านี้ได้ ท่านตาปลื้มอกปลื้มใจมาก แต่ว่าเรื่องเหล่านี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลใจหรอกนะ”
“หืม?” หลินเมิ่งหวันมองฉินชิงรุ่ยด้วยความสงสัย
ฉินชิงรุ่ยมองหลินเมิ่งหวันด้วยความอ่อนโยน กล่าวว่า“เจ้าแค่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอ เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องกังวลใจ น้ำชาเย็นแล้ว ข้าจะเปลี่ยนจอกใหม่ให้”
ฉินชิงรุ่ยเอาจอกน้ำชาที่เย็นชืดแล้วของหลินเมิ่งหวันมาเททิ้ง แล้วเทน้ำชาร้อนให้ใหม่
หลินเมิ่งหวันเป็นแก้วตาดวงใจของจวนหลิน ก็ควรที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขภายใต้ความรักทะนุถนอมของทุกคน
เรื่องทำจิตใจว้าวุ่นเหล่านี้ ฉินชิงรุ่ยกับน้าและเหล่าพี่ชายของหลินเมิ่งหวันจะต้องช่วยกันจัดการอย่างแน่นอน
หลินเมิ่งหวันเห็นฉินชิงรุ่ยดูมีท่าทางการวางแผนไว้อย่างดี ก็สงบใจสบายใจขึ้นมาก
นางอยู่รับประทานอาหารที่จวนฉิน จากนั้นถึงได้กลับออกไป แต่หลินเมิ่งหวันไม่ได้มุ่งตรงกลับไปที่จวนหลินเลย นางได้ไปที่หอเมี่ยวอิง
การขจัดพิษของหลี่จิ่นซูแปลกประหลาดมีเลศนัย หลินเมิ่งหวันเลยไปสอบถามเจียงหลีอวิ๋นดูว่าความเป็นจริงแล้วเป็นยังไง
เพิ่งจะเข้ามา หลินเมิ่งหวันก็ได้บังเอิญพบเข้ากับคนคุ้นเคยคนหนึ่ง ก็คือมู่เฉินคนนั้นที่ถูกชีฮูหยินทำให้ลำบากใจตอนหลินเมิ่งหวันมาที่หอเมี่ยวอิงไม่กี่วันก่อนหน้านี้
มู่เฉินมองหลินเมิ่งหวันด้วยความชะงักงันมึนงง
บุคคลตรงหน้าสวมใส่ชุดกระโปรงสีฟ้าเสื้อแขนกว้างพริ้วไหว มีต้นพลับพลึงน้ำปักอยู่บนกระโปรงด้วยลักษณะท่าทางต่างๆ ผมดำขลับมัดเกล้าทรงมวยตกหลังม้า สวมปิ่นปักผมนกยูงประดับเลี่ยมมรกตลูกไข่มุกปะการังสีแดงจำนวนหนึ่ง
ต่างหูขนนกยูงเสมือนจริง บนลำคอไร้ซึ่งเครื่องประดับ แต่ทว่าขาวละออนวลผ่อง สง่างามราวกับหงส์ขาว
นางแต่งหน้าไม่ฉูดฉาด ริมฝีปากแดงระเรื่อฟันขาวสะอาด ดวงตาสุกสกาว ดึงดูดสายตาคนเหลือเกิน
หลินเมิ่งหวันเห็นมู่เฉินก็ค่อนข้างแปลกใจ นางพยักหน้าก้มศีรษะให้เขา แล้วยกกระโปรงขึ้นไปบนชั้นสาม
หัวใจของมู่เฉินเต้นระรัวราวกับตีกลอง เขาไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไรดี
จนเงาของหลินเมิ่งหวันหายวับไปจากบันได มู่เฉินถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา มองดูแล้วหลินเมิ่งหวันค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตา
เหมือนกับว่าพวกเขาเคยเจอกันที่ไหน?
ภายในห้องส่วนตัวชั้นสาม เจียงหลีอวิ๋นกำลังพิงอยู่บนเก้าอี้นุ่ม ตามด้วยหยิบองุ่นที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชามายัดเข้าปากทีละลูก เหมือนกับหมาจิ้งจอกที่ขี้เกียจตัวหนึ่ง
เขาสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีน้ำเงินไพลิน ผมสีดำขลับของเขาไม่ได้มัด สีหน้าของเขาค่อนข้างซีดอิดโรยผิดปกติ
ไม่ว่าชาติปางก่อนหรือชาตินี้ นางล้วนไร้ซึ่งหนทางที่จะรักษาร่างกายของเจียงหลีอวิ๋นให้หายได้
แต่หลินเมิ่งหวันถามคุยกับตัวเอง เมื่อชาติปางก่อนนางไม่ได้จิตใจมุ่งมั่นอยู่กับสุขภาพร่างกายของเจียงหลีอวิ๋นเท่าไหร่ ถึงอย่างไรสำหรับนาง เจียงหลีอวิ๋นก็เป็นเพียงคนที่นางถือโอกาสช่วยชีวิตมาเท่านั้นเอง
พวกเขานับว่าเป็นสหายกัน แต่หลินเมิ่งหวันก็รู้เข้าใจดี ตั้งแต่ต้นจนจบนั้นเจียงหลีอวิ๋นนั้นมีเรื่องปิดบังนาง
ตามตรรกะความคิดของหลินเมิ่งหวัน เจียงหลีอวิ๋นไม่ได้เปิดใจกับนางแบบเต็มที่ แน่นอนว่านางก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมุ่งมั่นเพื่อเจียงหลีอวิ๋นมาก
แต่เมื่อชาติปางก่อน หลังจากที่นางตกระกำลำบาก ทว่าเจียงหลีอวิ๋นกลับทำเพื่อนาง……
หลินเมิ่งหวันเม้มริมฝีปาก กำมือแน่นโดยไม่รู้สึกตัว
หลินเมิ่งหวันกล่าวพูดในใจว่า รออาจารย์เข้ามาเมืองหลวง นางจะต้องเชิญอาจารย์มาตรวจแมะชีพจรให้เจียงหลีอวิ๋นอย่างแน่นอน และนางจะศึกษาอาการของเจียงหลีอวิ๋นกับอาจารย์ด้วย
ชาตินี้ นางจะต้องทำให้เจียงหลีอวิ๋นสุขภาพแข็งแรง
เจียงหลีอวิ๋นหยุดไอ หลุบตาขึ้นมองหลินเมิ่งหวันแล้วพูดว่า“คิดอะไรอยู่หรือ?”
หลินเมิ่งหวันส่ายหน้าไปมา เจียงหลีอวิ๋นเลยกล่าวว่า“บนโต๊ะมีข่าวคราวที่เจ้าอยากจะรู้ เจ้าไปดูเถอะ”
น้ำเสียงของเขาค่อนข้างแหบพร่า คันคอเป็นอย่างมาก กล่าวพูดออกมาอย่างยากลำบาก
เนื่องจากไอเมื่อครู่นี้ ใบหน้าของเจียงหลีอวิ๋นเลยแดงระเรื่อขึ้นมา และยิ่งทำให้ไฝจุดนั้นดึงดูดสายตามากขึ้น
หลินเมิ่งหวันหันไปมองทางโต๊ะ เป็นอย่างที่คิดนางเห็นจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่
นางลุกขึ้นไปดู จากนั้นเปิดซองจดหมายออกอย่างรวดเร็ว ภายในใจราวคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง
“หลี่จิ่นซูเอาตำรับยามาจากที่ไหนกัน? !”
หลินเมิ่งหวันหันไปมองเจียงหลีอวิ๋นด้วยความประหลาดใจ สีหน้าซีดเผือด ในหัวสมองผุดความคิดที่ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก