พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 340

ฮ่องเต้จาวเหรินทรงโบกพระหัตถ์อย่างเหนื่อยพระทัย "เรื่องตราลัญจกรเจ้าไปคุยกับพระเจ้าหลวงเองเถอะ ดูว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร"

เมื่อเสียนอ๋องมีกำหนดเวลาให้สามวัน จึงไม่ได้ขัดขวางอวิ๋นหลิงอีก อนุญาตให้นางเข้าออกตำหนักฉางหนิงได้ตามอำเภอใจ

อวิ๋นหลิงเองก็เป็นห่วงความปลอดภัยของตาแก่น้อยอยู่ จึงไม่ได้อยู่กับฮ่องเต้จาวเหรินนานนัก เร่งรีบไปยังตำหนักฉางหนิงทันที

ทันทีที่ย่างเท้าเข้าตำหนัก ก็ได้ยินเสียงตาแก่น้อยที่คุ้นเคยลอยมาอย่างสบายอารมณ์

"ผ่านไปตั้งหลายปี ฝีมือเดินหมากของเจ้าก็ยังไม่เอาไหน เทียบไม่ได้กระทั่งปลายเล็บของข้าเสียด้วยซ้ำ"

ตามด้วยน้ำเสียงกังวานหนักแน่นของชายอีกผู้หนึ่ง ซึ่งแฝงด้วยอารมณ์หงุดหงิดของความพ่ายแพ้ และมีเสียงตัวหมากร่วงกราวลงพื้นอีกต่างหาก

"ไม่เล่นแล้ว! ไม่เห็นจะสนุกตรงไหนเลย!"

อวิ๋นหลิงรู้สึกแปลกใจ จึงก้าวไปยังตำหนักด้านนอก เห็นพระเจ้าหลวงอยู่ใต้ต้นดอกท้อกำลังเดินหมากกับชายชราอีกคน และหมากดำหมากขาวก็เกลื่อนกระจายไปอยู่ที่พื้น

เป็นชายชราที่ผมขาวโพลน อายุราวหกสิบเศษแต่สีหน้าเปล่งปลั่ง ดูกระฉับกระเฉงนัก

ลักษณะรูปกายกำยำล่ำสัน แต่งกลายด้วยชุดของชาวทูเจวีย เสื้อตัวนอกมีภาพหมาป่าตัวใหญ่แลดูสง่างาม เห็นชัดว่าฐานะคงไม่ธรรมดา

พระเจ้าหลวงลูบเคราเล็กน้อย ยิ้มแย้มอย่างพอใจ รูปร่างที่ผอมบางอยู่ต่อหน้าชายชราดูคล้ายกับเป็นเด็กมากกว่า

"เว่ยฉือโม่ เจ้าก็ยังเอาแต่ใจเหมือนเดิมไม่มีผิด"

เว่ยฉือ? อวิ๋นหลินสะดุ้งในใจ จำได้ว่าเป็นแซ่ของราชสำนักทูเจวียนี่นา

ฐานะของชายชราเบื้องหน้าเริ่มเป็นที่เปิดเผยแล้ว

พอเห็นอวิ๋นหลิงเข้ามา พระเจ้าหลวงก็ดีพระทัยนัก "อ้าว นังหนูอวิ๋นมาแล้วรึ?"

ชายชรารีบหันมาเร็วพลัน สายตาคมกริบราวกับเหยี่ยวเพ่งพินิจอวิ๋นหลิงตั้งแต่หัวจรดเท้า พลางหรี่ตาเล็กน้อย

"เจ้าก็คือพระชายาจิ้งอ๋องที่ทำร้ายเว่ยฉือเหลียนสองแม่ลูกคนนั้นน่ะหรือ? ดูแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษ พวกนางยังพ่ายแพ้ให้แก่เจ้า ช่างไม่เอาไหนจริง ๆ"

ไม่รอให้อวิ๋นหลิงเอ่ยปาก พระเจ้าหลวงรีบขัดจังหวะเสียก่อน "ภาษิตว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว พวกนางก็เพียงแต่สืบทอดนิสัยของเจ้ามา นังหนูอวิ๋น รีบมาคารวะท่านข่านเร็วเข้า"

บุคคลเบื้องหน้าคืออ๋องทูเจวียผู้เฒ่าจริง ๆ

อวิ๋นหลิงเดินมาแสดงการคำนับ พลางถามว่า "เสด็จปู่กับท่านข่านเป็นเพื่อนเก่ามาก่อนอย่างงั้นหรือ?"

"ไม่เพียงเป็นเพื่อนเก่า ยังสนิทกันมากด้วย สมัยก่อนข้าเคยช่วยชีวิตเขาไว้ ตอนนั้นบ้านเมืองเกิดสงคราม ที่ไหน ๆ ก็มีคนขโมยอาหาร จนมีอยู่คืนหนึ่งข้าได้ยินเสียงเอะอะในเล้าหมู จึงรีบไปดู ปรากฏว่ามีคนกำลังแย่งอาหารกับหมูอยู่..."

พระเจ้าหลวงยิ่งเล่าก็ยิ่งสนุก แต่อ๋องทูเจวียผู้เฒ่ากลับหน้าง้ำ รีบขัดจังหวะเสียโดยเร็ว

"พอที ๆ จู่ ๆ ไปเอ่ยถึงเรื่องนี้ทำไมอีก?"

พระเจ้าหลวงหยิบกล้องยาสูบขึ้นมา พร้อมกับสูบพ่นควันเบา ๆ

"นังหนูเอ๊ย จงจำไว้ว่าห้ามใจอ่อนต่อคนของราชสำนักทูเจวียเป็นอันขาด พวกเขาคือหมาป่าที่หิวโหย เลี้ยงเท่าไหร่ก็ไม่รู้อิ่ม"

เดิมพระเจ้าหลวงถือกำเนิดอยู่ในเมืองชายแดนเล็ก ๆ มีอาชีพเลี้ยงหมูพร้อมกับเพาะปลูก ในอดีตแคว้นต้าโจวเกิดความวุ่นวาย เผ่าทูเจวียก็มีความขัดแย้งไม่หยุดหย่อน

คืนหนึ่งที่หลังบ้าน พระเจ้าหลวงได้พบเด็กหนุ่มชาวทูเจวียผู้หนึ่งซึ่งแต่งกายมอซอ กำลังแย่งกินอาหารหมูอยู่ในเล้า ลักษณะซูบผอมหนังแทบหุ้มกระดูก ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผล เกิดความใจอ่อนก็เลยช่วยเขาไว้

แม้ว่าต้าโจวกับทูเจวียจะเปิดศึกมานานปี แต่ราษฎรสองแคว้นต่างไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ตามชายแดนอาจมีทหารทูเจวียมาจู่โจมบ่อยครั้ง แต่ก็มีชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ให้ความช่วยเหลือแก่คนที่หนีภัยมา

พระเจ้าหลวงเกิดที่ชายแดน จึงรู้ภาษาทูเจวียดี ระหว่างการพูดคุย อีกฝ่ายอ้างว่าตนชื่ออาโม่

"ตอนนั้นข้าคิดแต่ว่าเขาคงเป็นลูกหลานของคนที่หนีภัยมา จึงให้พักอยู่บ้านชั่วคราว"

ต่อมาเกิดสงครามกลางเมืองในแคว้นต้าโจวจนลามถึงชายแดน พระเจ้าหลวงถูกบังคับให้ไปเป็นทหาร ส่วนอาโม่ก็ควรจะถูกเอาชีวิตซะ

แต่พระเจ้าหลวงทำไม่ได้ จึงขอใช้หมูสองตัวแลกกับชีวิตอาโม่ จากนั้นอาโม่ก็ถูกจับไปเป็นทหารเช่นกัน

"สิบกว่าปีหลังจากนั้น ข้ากับเขาก็ถือว่าได้ร่วมเป็นร่วมตาย ภาษาฮั่นของเขาและวรยุทธ์การต่อสู้ ข้าก็เป็นคนสอนกับมือ ยังเคยคิดว่าจะหาผู้หญิงซักคนให้เขาเป็นฝั่งเป็นฝาซะ ที่ไหนได้ชะตาเล่นตลก เขากลับเป็นเจ้าชายของชนเผ่าทูเจวียเสียนี่"

เพราะตอนนั้นเผ่าทูเจวียเกิดความขัดแย้งภายใน เขาถูกคนไล่ล่า จนต้องแอบหนีไปอยู่ในเล้าหมูของพระเจ้าหลวง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ