พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 364

กู้ฉางเซินมองดูเซียวปี้เฉิงกับพวกเล็กน้อย สีหน้ามีอาการลังเล

อวิ๋นหลิงเองก็เพิ่งตระหนัก ว่าการเรียงลำดับอาวุโสดูจะวุ่น ๆ อย่างไรชอบกล

กู้ฉางเซินเป็นอนุชาคนเล็กของอดีตฮ่องเต้เป่ยฉิน หรือก็คือเสด็จอาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ฐานะจึงสูงกว่าหลิวฉิงหนึ่งรุ่น

พักก่อนเวลาใครเอ่ยถึงผู้สำเร็จราชการแห่งเป่ยฉิน อวิ๋นหลิงมักคิดว่าคงเป็นชายสูงอายุหรือวัยกลางคน แต่แท้จริงแล้วปีนี้กู้ฉางเซินอายุเพียงยี่สิบหกปีเท่านั้น

หรือก็แปลว่าแก่กว่าเซียวปี้เฉิงสามปี นับแต่รู้จักมา ทั้งคู่ก็เรียกขานเป็นพี่น้องกัน

ในขณะที่หลิวฉิงเป็นศิษย์พี่รองของอวิ๋นหลิง อวิ๋นหลิงก็เป็นชายาของเซียวปี้เฉิง ควรจะเรียกนางว่าน้องสะใภ้หรืออะไรดี กู้ฉางเซินก็นึกไม่ออกเช่นกัน

หลิวฉิงรู้สึกปวดหัวกับการนับญาติและลำดับอาวุโสเหล่านี้ที่สุด นางจึงขมวดคิ้วแน่น

"อยากเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ เรียกเจ้าหวังก็ง่ายดีมิใช่หรือ?"

กู้ฉางเซินมองหน้าหลิวฉิง พร้อมกับหัวเราะเบา ๆ กล่าวกับอวิ๋นหลิงว่า “จริง ๆ พวกเราต่างก็อายุไล่เลี่ย เรียกขานเป็นพี่น้องจะสะดวกกว่า ข้าอายุมากที่สุด หากไม่รังเกียจให้เรียกว่าพี่ใหญ่กู้ก็ย่อมได้”

อาจเกี่ยวกับความรู้สึกส่วนตัวเล็กน้อย เขาไม่ต้องการจะลำดับอาวุโสกับหญิงที่อยู่ข้างกายนั่นเลย

“ปี้เฉิงเป็นบุตรคนที่สาม เจ้าอยู่ในสำนักก็อยู่ลำดับสามเช่นกัน ข้าจึงขอถือวิสาสะเรียกเจ้าว่าน้องสาม”

เย่ว์อิ่นกับซิงเฉินยืนแอบอยู่ในมุม ต่างสบสายตากันและกัน

มีความรู้สึกว่าวันนี้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการดูไม่เหมือนปกติ แม้เขาจะไม่ใช่คนที่มักจะหน้าบึ้งขึ้งเคียด แต่รอยยิ้มก็จะอยู่เพียงในดวงตาเท่านั้น

ไม่เคยเห็นเขาโอภาปราศรัยกับคนที่เพิ่งเจอครั้งแรกถึงเพียงนี้ ต่อให้คนผู้นั้นคือพระชายาแห่งจิ้งอ๋อง ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ท่าทีก็ยังสนิทสนมเหลือจะกล่าว

อวิ๋นหลิงเองก็จับสังเกตถึงท่าทีของกู้ฉางเซินได้ พลางแอบนึกแคลงใจ

นับแต่เดินเข้าจวนมา สายตาของกู้ฉางเซินก็มักจับจ้องอยู่ที่หลิวฉิง หลิวฉิงไม่ทันรู้ตัว แต่นางเป็นคนช่างสังเกต เพียงครู่เดียวก็ได้กลิ่นอายของความผิดปกติ

ท่าทีที่เจ้าหวังแสดงออก แทบจะบอกแทนทุกอย่างได้แล้ว

ครุ่นคิดพลาง อวิ๋นหลิงแทบจะยิ้มหน้าบาน

“ก็ได้ เรียกขานเช่นนี้ก็นับว่าไม่เลว ต่อไปข้าจะเรียกท่านว่ากู้...” นางหยุดเล็กน้อย แก้ไขสรรพนามให้ถูกต้อง “อ้อ ไม่ใช่ ต้องเป็นพี่ใหญ่หวัง...”

กู้ฉางเซิน “...”

เซียวปี้เฉิง “...”

ทั้งคู่แทบเหงื่อตก

“ไม่เป็นไร ๆ น้องสามจะเรียกอย่างไรก็ได้ เป็นเพียงสรรพนามเท่านั้น”

เขาฟังมาจากหลิวฉิงจนคุ้นชินแล้ว

กู้ฉางเซินมองดูพวกเขา พลางเหยียดริมฝีปากยิ้มบาง ๆ เสริมความอ่อนโยนให้แก่ใบหน้าคมสันหากแต่เย็นชาให้ดูดีมากขึ้น

อวิ๋นหลิงมีความรู้สึกว่าเจ้าหวังผู้นี้ไม่เพียงนิสัยดี หน้าตาก็ยังใช้ได้อีกต่างหาก

เทียบกับความหล่อเหลาแบบกำยำล่ำสันของเซียวปี้เฉิงแล้ว รูปลักษณ์ของกู้ฉางเซินไม่ได้ดูห้าวหาญถึงเพียงนั้น แต่ก็ต่างจากความสุภาพอ่อนโยนขององค์ชายห้าไปอีก

เขาสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำ ใบหน้าอาจไม่ได้เป็นที่จับตาดังเช่นเซียวปี้เฉิง แต่แม้จะยืนนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น ก็ยังมีราศีแห่งความสง่างามแฝงอยู่ ให้คนเกิดความเลื่อมใสได้โดยง่าย

มิน่าถึงกล่าวกันว่าเชื้อสายแห่งราชสำนักเป่ยฉินนั้น มีความเก่าแก่และทรงศักดิ์ที่สุดในบรรดาเชื้อพระวงศ์แห่งเก้ารัฐในแผ่นดินใหญ่ก็ว่าได้

เมื่อนึกถึงอายุของกู้ฉางเซินแล้ว อวิ๋นหลินก็ฉุกใจคิดได้บางอย่าง

“จริงสิพี่ใหญ่หวัง ข้ามีพี่สะใภ้หรือเปล่า?”

กู้ฉางเซินแอบถอนใจเบา ๆ ไม่คิดไปแก้ไขสรรพนามที่นางเรียกให้ถูกต้องอีก แต่ยังไม่วายปรายตาไปทางหลิวฉิงเล็กน้อย “ข้ายังไม่ได้แต่งงาน”

สีหน้าของกู้ฉางเซินคล้ายมีแววปริร้าว

เซียวปี้เฉิงมองดูหน้าตาที่บูดบึ้งของเขา ได้แต่แอบส่ายหน้าในใจ แสดงว่าพี่กู้ยังไม่เคยชินนัก

ปล่อยให้กู้ฉางเซินอยู่เรือนหลันชิงต่อไป อวิ๋นหลิงนั่งคุยซักพักก็ไปดูแลงานอื่นในจวนต่อ

เดิมคิดว่าจะตรวจดูอาการบาดเจ็บให้แก่หลิวฉิง แต่นางกลับบอกให้ไปปรุงยาให้กู้ฉางเซินก่อน โดยมีลูกศิษย์คือเจ้าสือจิ่วคอยเป็นลูกมืออยู่ข้าง ๆ

ภายใต้การแนะนำของอวิ๋นหลิง หลิวฉิงจึงได้รู้ความสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มกับน้องเล็กของนาง

“มือเท้าข้ายังมีปัญหาอยู่ แต่ไม่ทำให้ตายง่าย ๆ เจ้าไปปรุงยาให้เขาก่อน เป่ยฉินมีแต่หมอด้อยวิชา บอกเล่าอาการเจ้าหวังก็เพียงคร่าว ๆ เท่านั้น จริง ๆ จะอยู่ได้นานแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้ได้”

“พิษในตัวเขานับว่าร้ายแรงมาก เกิดพรุ่งนี้เช้าตื่นมา ปุบปับเสียชีวิตแล้วจะทำอย่างไร?”

นางยังหวังให้เขาหายเป็นปกติ แล้วมาประลองฝีมือซักหน่อย เพื่อดูว่าใครคือยอดมือกระบี่อันดับหนึ่งในแผ่นดินกันแน่!

สือจิ่วฟังแล้วก็รู้สึกแปลก เห็นอยู่ว่าเป็นห่วงอีกฝ่ายชัด ๆ แต่เหตุใดคำพูดที่ออกจากปากพี่สาวคนนี้ฟังอย่างไรก็ไม่เข้าท่าเสียที

อวิ๋นหลิงใช้ความคิด และเห็นว่าหลิวฉิงพูดมีเหตุผล จึงไปปรุงยาให้กู้ฉางเซินก่อน

พร้อมกับสั่งให้เฉียวเย่จัดงานเลี้ยงต้อนรับ เซียวปี้เฉิงบอกว่ากู้ฉางเซินแสดงเจตนาหวังจะรับต้าเป่าและเอ้อร์เป่าเป็นบุตรบุญธรรมในงานนี้ด้วย

เรื่องประเภทนี้สำหรับคนโบราณถือว่าเคร่งครัดอย่างยิ่ง จะทำล้อเล่นไม่ได้

พอตกดึก สายตาของเซียวปี้เฉิงจับจ้องอยู่ที่อวิ๋นหลิง “อวิ๋นหลิง เราควรพักผ่อนได้แล้ว”

“ข้าจะไปคุยกับพี่ฉิงหน่อย” อวิ๋นหลิงคลุมเสื้อแล้วผลักประตูออก “ท่านมักจะบ่นว่าปวดหัวไม่ใช่หรือ งั้นครึ่งเดือนนี้ก็นอนไปคนเดียว รักษาตัวให้แข็งแรงก่อน”

เซียวปี้เฉิงหน้าบึ้งลงทันควัน นี่ยังจะทิ้งเขาไปอีกครึ่งเดือนหรือ?

ก็ไหนว่าความห่างไกลทำให้ยิ่งคิดถึงอย่างไรเล่า!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ