ฮ่องเต้ฉินกลับไม่ได้ทำอะไรนาง และหลังจากนั้นก็ระงับอารมณ์ได้มากขึ้น อาจเป็นเพราะความละอายก็เป็นได้
เพราะอย่างไรเสียนั่นก็คือฟงเสี่ยวเม่ย หญิงที่โตมากับเขาด้วยกัน ซ้ำยังชื่นชมเขามาแต่เล็ก ปกป้องเขาจนเสียมือไปข้างหนึ่ง และบัดนี้นางก็จากโลกนี้ไปแล้ว
หนำซ้ำก่อนหน้านี้ เขายังเคยสัญญากับแม่ทัพอาวุโสฟงว่าจะดูแลความปลอดภัยของฟงเสี่ยวเม่ย แต่เพราะความละเลยของเขา ทำให้นางต้องตายอย่างอนาถอยู่ในวังหลวง
ขณะที่หลิวฉิงเล่าเรื่องในวังเป่ยฉินให้ฟังนั้น สีหน้ายังคงเย็นชาเหมือนเดิม
“ตอนหลังเขาก็คืนตำแหน่งพระสนมให้ฉันใหม่ แถมยังส่งโน่นส่งนี่มาให้อีก แต่คนก็ตายไปแล้ว ชดเชยแค่นี้จะมีประโยชน์อะไร กลายเป็นว่าวัน ๆ มีแต่คนมาห้อมล้อมฉัน เรียกว่าพระสนมอยู่ได้ น่ารำคาญจริง ๆ”
อวิ๋นหลิงอดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะ เธอพิจารณาหลิวฉิงอย่างถี่ถ้วน พบว่าเวลาปล่อยผมยาว หลิวฉิงก็ดูสวยดีเหมือนกัน
ชาติที่แล้วเพื่อสะดวกต่อการทำงาน หลิวฉิงจึงมักตัดผมสั้นอยู่ตลอด บวกกับเคยบาดเจ็บจนต้องผ่าตัดหลายครั้ง จึงต้องถูกโกนผมหรือไม่ก็หัวโล้น ไม่เคยปล่อยให้ผมยาวได้เลย
ส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรของเธอดูผอมสูงมาก น้ำเสียงพูดจาก็ฟังดูห้วนห้าว ใส่เสื้อโค้ทสีดำยืนนิ่งเฉยไร้ความรู้สึกใด ๆ สิ่งที่ได้มาคือสายตาจับจ้องอย่างเขินอายของสาวน้อยหลายคน และแววตาริษยาของชายหนุ่มเท่านั้น
สมัยนั้นคนที่กล้าบอกรักหลิวฉิงจะมีอยู่สองประเภท คือหญิงสาวที่มีจริตจะก้าน และชายหนุ่มที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ
“จริงสิพี่ฉิง แล้วครั้งนี้จะอยู่ต้าโจวนานแค่ไหน?”
สีหน้าหลิวฉิงมีอาการลังเล “ฉันกับเจ้าหวังแอบหนีมาซีโจวเงียบ ๆ ทางโน้นมีฮ่องเต้ฉินองค์เดียวคงจะปิดได้ไม่นาน อย่ามากก็ได้ซักสามสี่เดือน”
ฮ่องเต้ฉินขึ้นครองราชย์เร็ว ก่อนหน้านี้อำนาจบริหารอยู่ในมือกู้ฉางเซินทั้งสิ้น และฮ่องเต้ก็ทรงฟังคำยุยงจากคนรอบข้างจนไม่ไว้ใจเขา พยายามจะหาวิธีชิงอำนาจกลับคืนอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งกู้ฉางเซินเกิดเรื่อง จึงได้เข้าใจถึงความหวังดีของเสด็จอา และเห็นโฉมหน้าแท้จริงของคนรอบข้าง
“ฉันกับเจ้าหวังคงอยู่ได้ไม่นาน ไม่งั้นปล่อยให้หมอนั่นอยู่เป่ยฉินคนเดียว อาจถูกเสือสิงห์กระทิงแรดในวังกินจนไม่เหลือซาก และน้องบุญธรรมฉันก็อยู่ในมือเขาอีก”
น้องบุญธรรมลวี่อีเป็นเด็กกำพร้าที่แม่ทัพอาวุโสฟงรับเลี้ยงไว้ นางติดตามฟงเสี่ยวเม่ยเข้าวัง ได้รับความลำบากมิใช่น้อย
นับแต่หลิวฉิงย้อนเวลามา ลวี่อีก็ดีต่อนางมาก แม้กระทั่งปกป้องด้วยชีวิต นางจึงไม่อาจทิ้งเด็กคนนี้ไปได้
ฮ่องเต้ฉินรู้ว่านางคิดออกจากวังมาโดยตลอด เกรงว่าครั้งนี้นางจะไปแล้วไปลับ จึงได้กักตัวลวี่อีไว้ในวังหลวง
คิดไปคิดมา หลิวฉิงก็พูดกับอวิ๋นหลิงอย่างจริงจัง “รอไว้เคลียร์เรื่องยุ่ง ๆ ที่วังเป่ยฉินเสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะกลับมาสมทบกับเธอที่ต้าโจว และไปหาเจ้าใหญ่ด้วยกัน”
นางพูดว่า “กลับมาต้าโจว” แสดงว่าไม่มีความอาลัยอาวรณ์ต่อแคว้นเป่ยฉินเลย
น้องหลิงปักหลักมีครอบครัวที่ต้าโจวแล้ว สุดท้ายก็ย่อมจะต้องอยู่ที่นี่
อวิ๋นหลิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ไว้อีกหน่อยเราได้อยู่พร้อมหน้า คงไม่ต้องพรากจากกันอีก!”
เวลาแค่สามสี่เดือนอาจจะดูกระชั้น แต่นางมั่นใจว่าจะรักษากู้ฉางเซินกับหลิวฉิงให้หายได้
คำนวณเวลาดู พอถึงเดือนเจ็ดเมื่อไหร่ เยี่ยนอ๋องซึ่งไปเข้าพิธีแต่งงานที่ตงฉู่กับตี้อู่เหยาก็คงจะกลับมาเช่นกัน
ก่อนหลิวฉิงจะกลับไปเป่ยฉิน ไม่แน่อาจได้พบหน้าน้องเล็กซักครั้ง พอนึกถึงตรงนี้ ความตึงเครียดในใจหลังเกิดเหตุกบฏในวังก็ค่อยบรรเทาลงบ้าง
สองคนคุยโน่นคุยนี่จนถึงเที่ยงคืน ค่อยนอนเบียดในผ้าห่มเดียวกันและผล็อยหลับไป
รุ่งขึ้นตื่นมา อวิ๋นหลิงก็เริ่มทำงานอย่างวุ่นวายอีกครั้ง
ช่วงเช้าจัดยาและฝังเข็มให้กู้ฉางเซินเพื่อระงับพิษในตัว เร่งเพาะต้นกล้าสมุนไพรหายาก ตอนบ่ายเตรียมผสมตัวยาเชื่อมกระดูกให้แก่หลิวฉิง
นางยุ่งจนไม่มีเวลาเลี้ยงลูก ต้องปล่อยให้คนอื่นดูแลไป
ไม่รู้เพราะความที่คลุกคลีกับสัตว์บ่อยหรือเปล่า หลิวฉิงจึงมักถูกชะตากับเด็กเป็นพิเศษ
นอกจากต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าแล้ว แม้แต่นั่วเอ๋อร์ก็ติดนางแจเช่นกัน
อวิ๋นหลิงฟังผลแล้วค่อยถอนหายใจโล่งอก “ไม่ใช่ประหารทั้งตระกูลก็พอแล้ว”
ยึดทรัพย์ก็แค่เอาทรัพย์สินทั้งหมดเข้าหลวง จะไม่มีการประหัตประหารใด ๆ
เซียวปี้เฉิงส่ายหน้าพลางถอนใจ “ตระกูลเสิ่นรุ่นก่อนหน้านี้เคยเป็นทหารของเสด็จปู่ แม้จะไม่ได้สร้างผลงานมากมาย แต่ก็เคยหลั่งเลือดเพื่อแผ่นดินของต้าโจวมาก่อน เสด็จปู่จึงไม่ประสงค์จะทำเช่นนี้”
“พูดถึงตระกูลเสิ่น รุ่นบรรพบุรุษเคยมีแม่ทัพที่สร้างชื่อ ผลงานเกริกไกรถึงขั้นจารึกในประวัติศาสตร์ แต่รุ่นหลังกลับยิ่งด้อยลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงรุ่นพ่อของเสิ่นชิ่น รู้จักแต่ประจบสอพลอและทำตัวเป็นไม้หลักปักเลน แทบไม่มีความดีความชอบ ในสมองกลับคิดแต่เรื่องเชิดชูวงศ์ตระกูล สุดท้ายจึงกลายเป็นขุนนางทรยศไป”
อวิ๋นหลินได้ยินดังนี้ก็ให้นึกใจหายนัก “พี่ชายของอาชิ่นก็เคยเป็นแม่ทัพหาญกล้า สร้างผลงานไม่น้อย เสียดายด่วนจากโลกนี้ไปก่อน”
ถ้าพี่ชายของเสิ่นชิ่นยังอยู่ ตระกูลเสิ่นอาจไม่มาถึงวันนี้ก็เป็นได้
“ใช่ เสิ่นทัวตายอย่างองอาจ ตอนนั้นแม้แต่ศพก็หาไม่พบ”
พูดถึงเรื่องของตระกูลเสิ่น เซียวปี้เฉิงอดไม่ได้ที่จะเบนหัวข้อไปยังพระชายาเสียนอ๋อง
เขาไปนั่งข้างอวิ๋นหลิง พูดเสียงต่ำลง “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง พรุ่งนี้วานเจ้าไปบอกพี่สะใภ้รอง เพราะเกี่ยวกับนั่วเอ๋อร์”
ตระกูลเสิ่นกับเสียนอ๋องพ่ายแพ้ เสิ่นชิ่นจึงไม่ใช่พระชายาเสียนอ๋องอีก ในฐานะธิดาตระกูลเสิ่นที่ออกเรือนไปแล้ว แม้นางจะไม่ถูกขับออกจากเมืองหลวง แต่ก็อาจถูกตราหน้าว่าเป็นลูกหลานของขุนนางชั่ว
และฐานะนี้สำหรับนั่วเอ๋อร์แล้ว ถือว่าน่ากังวลเป็นอย่างมาก จนอาจมีผลกระทบต่อชั่วชีวิตของนางด้วยซ้ำ
“นั่วเอ๋อร์ยังเด็กอยู่มาก เสด็จพ่อจะลดตำแหน่งให้นางเป็นแค่เสี้ยนจู่ แล้วค่อยรับเข้าวังไปอบรมต่อ เช่นนี้แล้วอีกหน่อยนางโตขึ้น เรื่องที่เสียนอ๋องก่อกบฏก็จะไม่มีผลต่อการเลือกคู่ครองของนาง”
นั่นก็แปลว่า ให้นั่วเอ๋อร์ตัดขาดความสัมพันธ์กับอ๋องเสียนและพระชายาซะ แต่หากเป็นเช่นนี้ ก็แปลว่าเสิ่นชิ่นต้องพรากจากนั่วเอ๋อร์ด้วย
อวิ๋นหลิงได้ยินดังนี้ สีหน้าไหวสั่นเล็กน้อย ด้วยไม่รู้จะเอ่ยปากพูดกับเสิ่นชิ่นอย่างไรดี
ควรรู้ว่า เสิ่นชิ่นเคยบอบช้ำภายใน จนชาตินี้นางอาจมีลูกได้เพียงคนเดียวก็คือนั่วเอ๋อร์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ
วิธีเติมเหรียญตรงไหนอย่างไร...
จะมีอัพต่อจนจบไหมค่ะแอด...
นึกว่าจะอัพจนจบเสียอีกค่ะ กำลังสนุกเข้มข้นเชียว...
รบกวนแอดช่วยอับต่อไปให้จบเรื่องได้ไหมคะ รออ่านอยู่น้า...
ตอนต่อไปอ่านที่ไหนคะ...
ตอนต่อไป อัพช่วงไหนคะ 😭😭😭...
อัพต่อเถอะนะคะ...กำลังสนุกเลยค่ะ😅😄😊😘...
สนุกมากค่ะ..เดินเรื่องเร็ว..พระเอกไม่โง่..นางเอกฟาดแรงสะใจ...อ่านแล้วบันเทิงมาก55555......
ขอบคุณค่ะ...
รีบมาต่อนะคะ กำลังสนุกเลย...