หลิวฉิงมองพวกเขาทั้งสอง ขมวดคิ้วและมิได้เอ่ยคำ
นางไม่เชี่ยวชาญจัดการเรื่องพรรค์นี้ ไม่สามารถให้คำแนะนำดีๆ แก่อวิ๋นหลิงได้ นอกเสียจากอวิ๋นหลิงต้องการให้นางฆ่าคนวางเพลิง นางจะเสนอตัวทำเป็นคนแรกแน่นอน
อวิ๋นหลิงอดขำไม่ได้ กล่าวกับกงจื่อโยวด้วยเสียงอ่อนโยน “ข้าซาบซึ้งในความหวังดีของเจ้า แต่ที่นี่คือแคว้นต้าโจว มิใช่แคว้นถังใต้ เจ้าควรพักฟื้นอยู่ในจวนข้าดีๆ ก็พอ อย่าเที่ยววิ่งไปทั่ว จะให้เหล่าศิษย์ของสำนักทิงเสวี่ยไปเสียเวลากับผู้หญิงจากตระกูลหลี่คนหนึ่ง มันไม่คุ้มเลย แทนที่จะทำเช่นนั้น มิสู้ช่วยข้ารวบรวมหนังสือกลับมาแล้วเอาไปให้ห้องสมุดเยอะๆ จะดีกว่า”
สถานการณ์ของนางไม่ได้น่าอายเท่าของหลงเย่ เรื่องของบุตรสาวตระกูลหลี่นั้นพูดได้เลยว่าจัดการไม่ยาก แต่ไม่คู่ควรจะอยู่ในสายตาต่างหาก
กงจื่อโยวส่ายหน้าพลางยืนกรานว่า “ไม่ได้หรอก ต่อให้ห่านตัวนั้นจะไม่ถึงขั้นภัยคุกคาม แต่ชอบร้องเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่ข้างๆ น่ารำคาญชะมัด ข้าอยู่จวนจิ้งอ๋องก็ว่างเสียด้วย นอนทั้งวันเหมือนคนไร้ประโยชน์ หาอะไรทำสักหน่อยก็ไม่เลว”
สิ้นคำ เขาก็ให้พวกหน้ากากเงินไปสืบถามและรวบรวมข่าวคราวทุกอย่างของตระกูลหลี่กับหลี่เมิ่งเอ๋อร์
เห็นเช่นนี้ อวิ๋นหลิงก็อดโบกมือปัดความหวังดีของกงจื่อโยวไม่ได้ “เช่นนั้นก็ขอบคุณเจ้าที่เป็นห่วงข้า”
ถึงแม้กงจื่อโยวจะมีเจตนาดี ทว่านี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแต่ต้นตอยังอยู่ หากต้องการยุติเรื่องเช่นนี้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ยังต้องอาศัยพวกเขาทั้งคู่เอง
เห็นชัดว่าเซียวปี้เฉิงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี นิ่วหน้าเล็กน้อยจนกระทั่งถึงเวลาพักช่วงเย็น
ช่วงต้นคิมหันต์ จักจั่นส่งเสียงเพรียกร้องท่ามกลางสายลมโชยนอกลานบ้าน แสงเทียนวูบไหวอยู่ตรงหน้าต่างฉลุลายบุปผา เขานั่งครุ่นคิดอยู่บนขอบเตียง ใบหน้าครึ่งหนึ่งจมจ่อมอยู่ในเงามืดสลัวราง
อวิ๋นหลิงเอ่ยถามยิ้มๆ “กำลังคิดอะไรอยู่ เห็นท่านขมวดคิ้วมาทั้งวัน หรือว่าน้องห่านผู้นั้นรับมือยากมาก”
เซียวปี้เฉิงส่ายหน้า เม้มปากแล้วตอบว่า “ข้าไม่ได้ใส่ใจตระกูลเฟิงมาตั้งแต่แรก ตระกูลหลี่ก็ย่อมไม่น่ากลัว”
ก่อนหน้านี้ เฟิงจิ่งเหวยจ้องอยากได้ตำแหน่งพระชายาจิ้งอ๋องตาเป็นมัน ถึงขนาดเหิมเกริมลักพาตัวเวินหวยหยูกับอวิ๋นหลิง ซ้ำยังเอาชีวิตอวิ๋นหลิงมาข่มขู่เขาอีกด้วย
เผชิญหน้ากับตระกูลเฟิงที่มีอำนาจล้นฟ้าในเวลานั้น จนเขาเกือบจะใช้หอกแทงเฟิงจิ่งเหวยตายไปเสียแล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจะมานั่งอมทุกข์ทำไมกัน”
เซียวปี้เฉิงชะงักไป เอ่ยเนิบช้าด้วยแววตาสับสน “ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าโกรธ ไม่มีความสุข หรือน้อยเนื้อต่ำใจ...หรือบางทีวันหนึ่งอาจทนไม่ไหวอีกต่อไป อยากจะจากไปและใช้ชีวิตที่เงียบสงบ…”
อวิ๋นหลิงตกใจ อดปรายตามองเขาด้วยท่าทางตำหนิไม่ได้ “ดูจากที่ท่านพูด ยังคิดว่าข้าเหมือนเดิมอยู่อีกหรือ ถ้าไม่ได้ดั่งใจหวัง เอะอะก็จะเอาแต่เลิกรากันท่าเดียวอย่างนั้นสิ?”
“ไม่ใช่” เซียวปี้เฉิงส่ายหน้า หรี่ตาลงเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงเข้ม “ข้าแค่รู้สึกผิดต่อเจ้า ตอนแรกเก็บเจ้าไว้ข้างกายอย่างไร้ยางอาย ทั้งยังให้ชีวิตที่เจ้าต้องการไม่ได้อีกด้วย”
อวิ๋นหลิงเคยกล่าวไว้ว่า ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชาติก่อนของนางคืออยากมีอิสระ ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลร่วมกับบรรดาพี่น้องโดยปราศจากความโศกเศร้าหรือปัญหาใดๆ
เซียวปี้เฉิงรู้จักนางดีมาตลอด นางมีนิสัยที่ไม่อยากทนทุกข์ทรมาน
ด้วยพรสวรรค์และความสามารถของอวิ๋นหลิง นางไม่จำเป็นต้องมองสีหน้าใคร หรือทนทุกข์กับความคับข้องใจของผู้อื่นจริงๆ
ไม่เพียงเขาเท่านั้น ทั้งจักรพรรดิจาวเหรินและพระเจ้าหลวงต่างก็รู้จุดนี้ดีเช่นกัน
ดังนั้นเมื่ออวิ๋นหลิงมองว่าอำนาจฮ่องเต้กับการแบ่งชนชั้นสูงต่ำนั้นไม่มีอะไรเลย จักรพรรดิจาวเหรินก็ไม่เคยลงโทษนางอย่างจริงๆ จังๆ ไม่ว่าจะไม่พอใจแค่ไหนก็ตาม
เพราะพวกเขาล้วนรู้อยู่แก่ใจดีว่า แคว้นต้าโจวขาดอวิ๋นหลิงไม่ได้ และไม่ใช่ว่าอวิ๋นหลิงจะแยกออกจากแคว้นต้าโจวไม่ได้
เซียวปี้เฉิงจับมืออวิ๋นหลิงแน่นอย่างอดไม่ได้ “เจ้าแต่งงานกับข้ามานานถึงเพียงนี้ แต่ละวันถ้าไม่คิดกลอุบายวางแผนรับมือ ก็จะวิ่งเต้นทำงานหนักไปทั่วทุกที่ ข้าละอายใจ ไม่อยากให้เจ้าต้องมานั่งเสียใจกับเรื่องรับชายารองในวันหน้า”
อวิ๋นหลิงสัมผัสถึงพลังอันแสนอบอุ่นของเขา ปรับสีหน้าให้อ่อนลงอย่างห้ามไม่ได้ เอนตัวพิงไหล่เขาเบาๆ
ขณะเซียวปี้เฉิงกล่าว นัยน์ตาสีดำเข้มทอประกายเจิดจ้าแวบขึ้นมา
“เหตุที่ตระกูลเฟิงกับตระกูลหลี่มีรากฐานอันแข็งแกร่งเช่นนี้ในราชสำนัก เป็นเพราะหลายปีนี้ พวกเขาได้ให้การสนับสนุนศิษย์สำนักศึกษาบางคนเป็นการส่วนตัว ศิษย์เหล่านี้จะยืมมือเข้าสู่แวดวงขุนนาง ก็เพื่อให้พวกเขาได้ใช้ประโยชน์นั่นเอง”
อาจกล่าวได้ว่าทุกวันนี้ทั้งราชสำนักหากไร้เส้นสายก็ยากจะไต่เต้า สองกลุ่มอำนาจใหญ่สุดคือตระกูลเฟิงกับตระกูลหลี่ และตามมาด้วยตระกูลหรง
เซียวปี้เฉิงเคยสืบอย่างลับๆ จนค้นพบข้อเท็จจริงอันน่าตกอกตกใจเรื่องหนึ่ง
บัดนี้บรรดาขุนนางใหญ่น้อยในราชสำนักประมาณเจ็ดส่วนล้วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเฟิงและตระกูลหลี่ หากมิใช่เป็นลูกหลานของตระกูลเดียวกันของทั้งสองตระกูลใหญ่ ก็เป็นผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากพวกเขาตอนอยู่สำนักศึกษา
เซียวปี้เฉิงเล่าต่อด้วยเสียงเข้ม “ถึงเราสองคนจะมีชื่อเสียงเลื่องลือในกองทัพ แต่ไม่มีคนที่ใช้งานได้เลยในราชสำนัก จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องบ่มเพาะกองกำลังที่เชื่อถือได้ แต่หลังจากมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งรัชทายาทลงมาแล้ว ข้าได้ลอบสืบสวนสำนักศึกษาหลักทั้งสามแห่ง ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลเฟิงกับตระกูลหลี่เกือบทั้งหมด หากเราหมายจะเข้าไปแทรกแซงคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ”
อวิ๋นหลิงเข้าใจทันทีว่าเขาจะสื่อถึงอะไร “ตอนนี้เรามีเงินอยู่ในมือเพียงพอแล้ว ตั้งสำนักศึกษาใหม่อีกสักแห่งจะเป็นไรไปเล่า คัดเลือกคนที่เราต้องการอย่างเคร่งครัด จากนั้นฝึกฝนและส่งเสริมพวกเขา ค่อยเอาเข้าไปแทนที่คนจากสองตระกูลใหญ่ทีละนิดๆ”
เซียวปี้เฉิงพยักหน้าด้วยประกายตาแน่วแน่
ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เขาจึงจะยึดอำนาจทั้งหมดของราชสำนักไว้ในมือได้อย่างมั่นคง
ภายหน้าไม่ว่าจะย้ายไปอยู่ตำหนักบูรพาหรือขึ้นครองบัลลังก์ในสักวันหนึ่ง จะไม่มีใครบังคับให้เขารับชายารองหรือวังหลังมีสนมแน่นจนล้นปรี่
เพราะขืนใครก็ตามที่กล้าทำเช่นนั้น เขาจะไม่มีวันปล่อยให้อีกฝ่ายมีคุณสมบัติก้าวเข้าสู่ตำหนักทองหลวงได้เลย
หากหมายจะต้านทานกับทั้งราชสำนักเพื่อคนที่เขารัก เขาจะต้องกุมอำนาจทั้งหมดทั้งมวลไว้ในมืออย่างมั่นคง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ
วิธีเติมเหรียญตรงไหนอย่างไร...
จะมีอัพต่อจนจบไหมค่ะแอด...
นึกว่าจะอัพจนจบเสียอีกค่ะ กำลังสนุกเข้มข้นเชียว...
รบกวนแอดช่วยอับต่อไปให้จบเรื่องได้ไหมคะ รออ่านอยู่น้า...
ตอนต่อไปอ่านที่ไหนคะ...
ตอนต่อไป อัพช่วงไหนคะ 😭😭😭...
อัพต่อเถอะนะคะ...กำลังสนุกเลยค่ะ😅😄😊😘...
สนุกมากค่ะ..เดินเรื่องเร็ว..พระเอกไม่โง่..นางเอกฟาดแรงสะใจ...อ่านแล้วบันเทิงมาก55555......
ขอบคุณค่ะ...
รีบมาต่อนะคะ กำลังสนุกเลย...