พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 476

อวิ๋นหลิงรู้สึกเขินอายกับคำชมของเขาอยู่ไม่น้อย "ข้าเพียงเดินตามรอยเท้าของเหล่าผู้อาวุโสเท่านั้น หากว่าความคิดเหล่านี้เข้าท่า ประเดี๋ยวกลับไปถึงเป่ยฉินหากพี่ใหญ่ไม่ขัดข้องก็สามารถทดลองดูได้"

ทว่าพอเมื่อกู้ฉางเซินได้ยินกลับส่ายหัว พลางเหลือบไปมองนางด้วยสายตาลึกล้ำ

“นอกเหนือจากเจ้า ในโลกนี้เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดที่จะสามารถสร้างสำนักศึกษาตามที่น้องสามจินตนาการทั้งหมดได้ หรือกล่าวได้ว่า นอกเหนือจากต้าโจว แคว้นอื่นๆแม้แต่คิดก็อย่าหวังเลย”

การเคลื่อนไหวครานี้แน่นอนว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้คนในใต้หล้า แต่ก็มิอาจทราบได้ว่าไปกระทบต่อผู้มีอำนาจมากน้อยเพียงใด กระทั่งว่าอาจกระทบผลไปถึงรากฐานของแว่นแคว้นด้วยซ้ำ

ปัจจุบันตระกูลบัณฑิตส่วนใหญ่มาจากตระกูลขุนนาง นั่นก็เพราะตระกูลที่เรืองอำนาจเหล่านั้นได้ดำรงตำแหน่งขุนนางมาหลายชั่วอายุคนนั่นเอง

เอ่ยให้ไพเราะหน่อยก็เรียกว่าตระกูลที่ยึดถือขนบธรรมเนียม เอ่ยไม่น่าฟังหน่อยก็เรียกว่าบัณฑิตเผด็จการ อาศัยอำนาจมาควบคุมและผูกขาดการศึกษาและการสอบคัดเลือกขุนนาง ทำให้ประชาชนทั่วไปยากที่จะยืดหยัดขึ้นมาได้และครอบครัวที่ยากจนก็ยากที่กลายเป็นชายผู้สูงศักดิ์ได้เช่นกัน

กู้ฉางเซินควบคุมราชสำนักมาหลายปี ไหนเลยจะไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ แต่จนใจที่กำลังคนน้อยยากที่จะสั่นคลอนต้นไม้สูงใหญ่ระหว่างชนชั้น

ทว่าทุกสิ่งที่ทำลงไปก็เพื่อที่จะยับยั้งอำนาจจากแต่ละฝ่ายอย่างเต็มที่ แม้ระหว่างทางจะเต็มไปด้วยขวากหนามและความยากลำบากก็ตาม

ยิ่งไปกว่านั้นจักรพรรดิเป่ยฉินซึ่งเป็นหลานชายของเขาก็มักที่จะฟาดฟันกับตนมาตลอด ทว่าปณิธานอันยิ่งใหญ่เหล่านั้นที่วางแผนไว้สำหรับประชาชน สุดท้ายกลับกลายเป็นความฝัน

ทว่าต้าโจวแตกต่างออกไป

ดวงตาของกู้ฉางเซินตกลงบนร่างเซียวปี้เฉิง พลางเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ต้าโจวมีน้องสามและปี้เฉิงนับว่าเป็นวาสนาของต้าโจวทีเดียว”

เขาแน่ใจว่าบนโลกคงจะไม่มีองค์ชายดังเช่นเซียวปี้เฉิงคนที่สองอีกแล้ว ที่สามารถไว้วางใจและสนับสนุนทุกสิ่งที่อวิ๋นหลิงเสนออย่างไร้เงื่อนไข

สามีภรรยาคู่นี้เป็นเชือกที่ผูกกันเอาไว้แน่น พอถึงเวลาอันเหมาะสมก็จะหลอมรวมเข้าด้วยกัน

ดวงตาของเซียวปี้เฉิงพลันอ่อนโยน เอ่ยเสียงเบา "พี่กู้ชมเกินไปแล้ว ข้าและหลิงเอ๋อร์เพียงหวังว่าในในภายภาคหน้า ผู้คนใต้หล้าจะสามารถอ่านหนังสือได้"

ต่อมากู้ฉางเซินได้รู้จักกับแนวคิด "การศึกษาภาคบังคับ" ที่ว่าเป็นครั้งแรก หลังจากทอดถอนใจอยู่หลายครั้งหลายคราก็อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้

ยามนี้เขาไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าหลังจากสำนักศึกษาของอวิ๋นหลิงสร้างเสร็จจะไม่มีลูกศิษย์และอาจารย์ที่คิดมาสมัคร

สามารถคาดการณ์ได้ว่าสำนักศึกษาชิงอี้ในอนาคตจะดึงดูดผู้คนที่มีปณิธานอันสูงส่งในใต้หล้าได้นับไม่ถ้วน เขาเองก็คิดเช่นนั้น

กู้ฉางเซินตัดสินใจอย่างแน่วแน่ หลังจากความขัดแย้งในราชสำนักเป่ยฉินยุติลง เขาจะคืนอำนาจของจักพรรดิทั้งหมดให้กับหลานชาย จากนั้นจึงกลับต้าโจวพร้อมกับหลิวฉิง

ภายในสำนักศึกษาชิงอี้มีบางอย่างที่เขาเคยคิดที่จะแสวงหา

กระทั่งอวิ๋นหลิงได้ดำเนินการวางแผนสำนักศึกษาไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ก็ยังไม่รู้ว่าจากนี้ไปไม่จำเป็นต้องกลัดกลุ้มกับตำแหน่งหัวหน้าสำนักศึกษาที่ชวนให้คนหนักใจมากที่สุดอีกต่อไปแล้ว

...

หลังจากเขียนฉบับร่างแล้ว อวิ๋นหลิงได้ไปที่สำนักขันทีฝ่ายพิธีการด้วยตนเอง และขอให้ตระกูลหรงช่วยเรียงพิมพ์และพิมพ์สำเนาอีกหลายสิบเล่ม

เกี่ยวกับการคัดเลือกอาจารย์ ท่านปู่เหวินกั๋วกงผู้เฒ่าในครานี้ก็ได้ลงแรงไปไม่น้อย เมื่อเขายังเด็กก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีความสามารถที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงทำให้เส้นสายไม่ด้อยไปกว่าตระกูลเฟิงและตระกูลหลี่ด้วยซ้ำ

เพียงแต่ว่าเหวินกั๋วกงผู้เฒ่าเป็นคนซื่อสัตย์และไม่ค่อยเข้าไปข้องแวะกับเรื่องที่มีเส้นสนกลในเหล่านี้ คนที่เขาคบหาด้วยส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่มีคุณธรรมสูงส่งและมีชื่อเสียงอันดีงามในเมืองหลวง

มีเขาออกหน้าด้วยตนเอง พร้อมกับนำฉบับร่างของอวิ๋นหลิงมาเยี่ยมเยียนถึงประตู และในไม่ช้าเหล่าปัญญาชนที่ใช้ชีวิตอย่างสงบไปวันๆก็ไม่อาจจะอยู่อย่างสงบได้อีกต่อไป

“ฉบับร่างฉบับนี้ เป็นจิ้งอ๋องสามีภรรยาคิดขึ้นมาหรือ?”

“ฝ่าบาททรงพระปรีชาสายพระเนตรกว้างขวาง หากว่าอนาคตของต้าโจวอยู่ในมือของพวกเขาทั้งคู่ แน่นอนว่าจะต้องสร้างยุคที่เจริญรุ่งเรืองได้เป็นแน่”

เขามาชักชวนด้วยตนเองและอีกทั้งยังจงใจเอ่ยถึงราชครูผู้เฒ่าออกมา มิน่าผลตอบรับของฉบับร่างสำนักศึกษาถึงได้ดีถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังทำให้ปัญญาชนผู้ยิ่งใหญ่ที่เก็บตัวเงียบมาหลายไปเผยตัวออกมาด้วย

เลือกอย่างส่งๆออกมาซักคนก็ถือได้ว่าเป็นผู้นำที่โดดเด่น แม้แต่บัณฑิตของสำนักศึกษาฮั่นหลินเมื่อพบเจอก็ยังต้องเรียกเขาว่า "ผู้อาวุโสและอาจารย์" ด้วยความเคารพ

อวิ๋นหลิงหยิกเซียวปี้เฉิงไปรอบหนึ่ง จนทำเอาเขาเจ็บจนหน้าตาบิดเบี้ยว

“ความสุขนี้มาอย่างกะทันหันไปหน่อย”

เมื่อมีปรมาจารย์เหล่านี้ ยังต้องกลัวว่าสำนักศึกษาชิงอี้จะไม่สามารถยึดครองตระกูลเฟิงและตระกูลหลี่ได้หรือ?

อย่างไรก็ตาม ยังมีความคิดเห็นมากมายที่วิพากษ์วิจารณ์และเยาะเย้ยหาว่านางเพ้อเจ้อและกระทำการเหลวไหล เพียงเพราะฉบับร่างของอวิ๋นหลิงระบุว่าสตรีทั่วไปก็สามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาได้เช่นกัน

อวิ๋นหลิงไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ปละไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

ในไม่ช้าคนทั้งโลกจะรู้ว่านางไม่เพียงต้องการให้สตรีเข้าเรียนเท่านั้น แต่ยังให้สิทธิ์พวกนางในการสอบคัดเลือกขุนนางเพื่อดำรงตำแหน่งขุนนางอีกด้วย

ชื่อของอวิ๋นหลิงยังคงได้รับความนิยมอย่างมากตามโรงน้ำชาในเมืองหลวง แต่โดยรวมกลับได้รับคำชมและการสนับสนุนมากกว่าถูกวิพากษ์วิจารณ์

มีเพียงใบหน้าของหลี่เมิ่งเอ๋อร์เท่านั้นที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยและดูถูกเหยียดหยามหลังจากได้รู้เรื่องราวทั้งหมด

“เพียงแค่อาศัยปู่ที่เก่งกาจเท่านั้น มีอะไรให้น่าภูมิใจกัน! คนที่ไม่เคยไปแม้แต่สำนักศึกษา คาดไม่ถึงว่าถึงกับลั่นวาจาอย่างหน้าไม่อายว่าจะเปิดสำนักศึกษา ไม่แน่ว่าฉบับร่างอะไรนั่นนางอาจไม่ได้คิดเองก็เป็นได้”

“ให้นางลำพองใจไปอีกสักพัก ประเดี๋ยวสำนักศึกษาโทรมๆสร้างเสร็จ ข้าจะต้องไปทำลายมันด้วย เพื่อให้คนในเมืองหลวงได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง”

เพียงแต่เป็นความฉลาดที่มีอยู่น้อยนิด เกรงว่าแม้แต่หมึกในท้องก็คงไม่อาจรีดออกมาได้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ