พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 496

จักรพรรดิจาวเหรินถอนหายใจยาว หว่างคิ้วยังคงความลำบากใจ

"แต่กงจื่อโยวไม่เพียงแต่เป็นชาวถังใต้ ยังเป็นเจ้าสำนักแห่งสำนักทิงเสวี่ยอีกด้วย เขาและราชวงศ์ถังใต้มีหนี้แค้นต่อกัน หากราชวงศ์ถังใต้รู้เข้าว่าเจ้าทำเช่นนี้ มิใช่ว่าจะเป็นการทำลายมิตรภาพระหว่างทั้งสองแคว้นหรอกหรือ?”

หากแคว้นถังใต้รู้ว่าพวกเขาไม่เพียงแต่มีแลกเปลี่ยนการค้าและผลประโยชน์ต่อกันกับสำนักทิงเสวี่ยเท่านั้น แต่ยังแอบขุดเหมืองทองคำของพวกเขาด้วย พวกเขาต้องถูกสับเป็นชิ้นๆแน่

แคว้นถังใต้ยามนี้แน่นอนว่าไม่อาจเอาชนะแคว้นต้าโจว ได้ แต่พวกเขาเป็นแคว้นเพื่อนบ้าน อีกทั้งอยู่ใกล้กันมาก หากเกิดความขัดแย้งขึ้น ชายแดนก็คงจะไม่สงบอีกต่อไป

เซียวปี้เฉิงเอ่ยอย่างอ่อนโยน "เสด็จพ่อโปรดวางใจ ต้าโจวมิใช่ดังในอดีต ยามนี้ถึงคราวที่แคว้นถังใต้จะต้องมาขอร้องพวกเราแล้ว ส่วนกงจื่อโยว ลูกจะจัดซื้อทะเบียนบ้านในต้าโจวให้แก่เขา”

จักรพรรดิจาวเหรินขมวดคิ้ว ก้มหน้าครุ่นคิดอยู่เป็นนาน แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนแก่เซียวปี้เฉิง

“ข้าขอคิดทบทวนเสียก่อน”

เขาสะบัดมือและส่งสัญญาณให้เซียวปี้เฉิงกลับไป

เซียวปี้เฉิงเห็นว่าพอสมควรแล้ว จึงมิได้ขอให้จักรพรรดิจาวเหรินตกปากรับคำในทันที เขาตระหนักดีถึงความกลัวและความกังวลต่างๆของจักรพรรดิจาวเหริน

“เช่นนั้นลูกขอทูลลา เสด็จพ่อทรงพักผ่อนพระวรกาย รักษาพระวรกายทรงสำคัญที่สุด”

...

กงจื่อโยวกลับมาในวันรุ่งขึ้น เซียวปี้เฉิงได้เผยท่าทีของจักรพรรดิจาวเหรินที่มีต่อเขาในยามนี้

กงจื่อโยวถอนใจอย่างโล่งอก ตราบใดที่จักรพรรดิจาวเหรินมิได้คัดค้าน นั่นหมายความว่าเรื่องนี้ยังพอมีหวังอยู่บ้าง

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง อวิ๋นหลิงก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า "ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเราควรสร้างแรงผลักดันเสียก่อน ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงรู้ว่าห้องสมุดและสำนักศึกษาถูกสร้างขึ้นเพราะมีคนบริจาคเงินทองหลายแสนตำลึง รอจนเกิดแรงผลักดันขึ้นและชื่อเสียงของกงจื่อโยวแพร่กระจายออกไป เมื่อเสด็จพ่อได้เห็นด้วยตาตนเองคงจะวางพระทัยได้แล้ว”

หากเขาฉวยโอกาสจากสถานการณ์เพื่อแนะนำกงจื่อโยวก็ถือได้ว่าสมเหตุสมผลและถูกต้องตามหลักเกณฑ์

เซียวปี้เฉิงมองไปยังกงจื่อโยวที่อยู่ด้านข้าง "ถูกต้อง แต่เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าคงมิอาจใช้ชื่อปัจจุบันนี้ได้อีก จำต้องเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม"

ที่มาที่ไปของราชวงศ์ถังใต้และสำนักทิงเสวี่ยลึกซึ้งถึงเพียงนี้ หากได้ล่วงรู้ถึงความลับของสำนักทิงเสวี่ยเข้า เกรงว่าการที่เขาใช้ชื่อเดิมจะเป็นอันตรายจนเกินไป

กงจื่อโยวถอนใจเอ่ย "ข้าไม่สน ขอเพียงเป็นสถานะที่ซื่อสัตย์สุจริต สามารถเดินไปไหนได้อย่างเปิดเผย ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องดี"

เซียวปี้เฉิงพยักหน้าเอ่ยเสียงขรึม "เมื่อลั่นวาจาออกไปแล้ว ต้องรักษาสัจจะ ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้ว ข้าก็พูดจริงทำจริง ไม่ว่าอย่างไรก็จะหาวิธีทำให้เสด็จพ่อรับปากให้ได้"

เมื่อกงจื่อโยวได้ยิน ก็ลุกยืนขึ้นคำนับอย่างจริงจังอยู่ซ้ำไปซ้ำมา

“บุญคุณของท่านทั้งสอง ข้าซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งและจะไม่ลืมบุญคุณอย่างแน่นอน”

อวิ๋นหลิงสะบัดมือ “เอาล่ะ อย่าได้ทำเป็นเรื่องใหญ่ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าและพวกเราใช่ว่าห่างเหินกันเสียหน่อย”

เมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ ในใจกงจื่อโยวก็ทั้งรู้สึกซาบซึ้งและละอายใจในเวลาเดียวกัน

อวิ๋นหลิงสามีภรรยาทั้งสองช่วยเขามาแล้วสองครั้ง ล้วนแต่มิใช่ว่าจะใช้เงินทองตอบแทนได้ง่ายๆ

นอกจากการรักษายาพิษเย็นแล้ว แค่พูดถึงเรื่องหลงเย่ในครั้งนี้ เดิมทีทั้งคู่ก็ไม่ได้มีหน้าที่อันใดต้องมาช่วยเขา

เซียวปี้เฉิงเดิมทีไม่ต้องกังวลกับการถูกบังคับให้อภิเษกสมรสกับองค์หญิง อวิ๋นหลิงเองก็กำลังรักษาพิษเย็นให้กับลี่ผิน ขอเพียงนางเอ่ยปาก แน่นอนว่าพระโอรสหกก็จะตกลงช่วยเหลืออย่างไร้เงื่อนไข

แต่หลงเย่ต้องการแค่คู่แต่งงานปลอมๆเท่านั้น โดยไม่สำคัญว่าเป็นผู้ใด

ทั้งคู่ผ่านความลำบากมามากมายถึงเพียงนี้ ย่อมรู้ดีว่าความยากลำบากจะทำให้เกิดข้อเสียอีกมากมาย แต่กลับยังคงตกปากรับคำ ทั้งที่ล้วนแต่เป็นความเห็นแก่ตัวของเขาล้วนๆ

ภายในสำนักทิงเสวี่ย ไม่นานสาวกประกาศิตป้ายแดงอีกหลายคนก็ได้ยินข่าว

หน้ากากเงินเบิกตากว้างด้วยความเหลือเชื่อ จากนั้นก็ร้องโอดครวญ "ไม่ใช่สิขอรับคุณชาย นั่นเป็นเหมืองทองคำลูกหนึ่งเชียวนะ ท่านจะยอมปล่อยไปง่ายๆเช่นนี้หรือ?"

หลังจากที่หน้ากากเงินฟังจบ ก็พลันกระจ่างขึ้นมาและไม่ได้ตำหนิอีกต่อไป เพียงแต่ความปวดร้าวในใจก็ยังไม่อาจบรรเทาได้ในชั่วครู่

...

ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่อวิ๋นหลิงและเซียวปี้เฉิงรับปากที่จะช่วยเหลือ พวกเขาก็แยกทางกันเพื่อไปวางแผน

เซียวปี้เฉิงใช้เส้นสายในกรมคลัง เพื่อสร้างตัวตนในทะเบียนบ้านที่ดูสมบูรณ์แบบไร้ข้อบกพร่องให้กับกงจื่อโยว และรวบรวมประสบการณ์ทางการค้าที่สมบูรณ์โดยละเอียด

ในไม่ช้า พ่อค้าที่ชื่อ "จินฟู่กุ้ย" ผู้หนึ่งก็เริ่มเป็นที่รู้จักกันในเมืองหลวง

ว่ากันว่าพ่อค้าหนุ่มผู้มั่งคั่งผู้นี้ ยังเป็นถึงผู้สืบทอดของร้านรับฝากเงินธงเป่าที่ได้รับการยกย่องมายาวนาน เป็นอัจฉริยะด้านการค้าแต่กำเนิด มีกิจการอยู่ทั่วทุกมุมเมืองและทั่วทุกสารทิศ

เพียงแต่ว่าเขาป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่หาย และบังเอิญโชคดีที่ได้พระชายารัชทายาทช่วยรักษา เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ ซ้ำยังซาบซึ้งที่ความเมตตาที่รัชทายาทสามีภรรยามีต่อประชาชน จึงได้บริจาคเงินหลายแสนตำลึงมาเพื่อช่วยสร้างห้องสมุดหลวง

บัดนี้ได้ยินมาว่าพระชายารัชทายาทต้องการสร้างสำนักศึกษา จึงได้เต็มใจที่จะบริจาคทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ในครอบครัวและใช้ทองคำหลายล้านตำลึงเพื่อสนับสนุนบัณฑิตที่ยากจนในการสอบขุนนาง

เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป ก็เกิดความโกลาหลในเมืองหลวง ไม่ว่าโรงน้ำชาเล็กใหญ่ต่างก็พูดถึงเรื่องนี้

ทุกคนต่างก็กล่าวว่าจินฟู่กุ้ยเป็นคนมีเมตตาธรรม เขาเป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งที่กลับชาติมาเกิดอย่างแท้จริง!

ก่อนหน้าเหล่าบัณฑิตในเมืองหลวงรู้สึกซาบซึ้งใจต่อรัชทายาทสามีภรรยาอย่างมากที่สร้างสำนักศึกษาขึ้น ทว่ายามนี้ก็รู้สึกขอบคุณในความใจกว้างและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของจินฟู่กุ้ยอย่างมากเช่นกัน

มีคนไม่น้อยที่ยกย่องเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งนี้อย่างมาก กระทั่งบางคนถึงกับเรียกเขาว่า "ท่านอ๋องจิน" เพื่อสื่อถึงความเคารพ

คำเรียก "ท่านอ๋องจิน" นี้เป็นกลยุทธ์ของอวิ๋นหลิงโดยแท้จริง

นางจงใจให้คนไปปล่อยข่าวออกไป ประการแรกต้องการดูท่าทีของประชาชนและราชสำนัก จากนั้นนางก็ต้องการให้คนทั่วไปยอมรับชื่อนี้ไปโดยปริยาย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ